วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประสบการณ์ต่างประเทศครั้งแรกสำหรับปี 2010

ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในแต่ละวันและว่าจะส่งลงblogเพราะเห็นที่โรงแรมมีเน็ต แต่ว่าเมื่อเข้าไปพบว่าอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะด้านการสื่อสารเช่น การเขียนอีเมล์ , การเขียนblog ฯลฯ ถูกบล็อคเอาไว้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องบันทึกเก็บไว้ และมาส่ง เมื่อกลับมาเมืองไทยดังข้างล่าง

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันนี้ได้มาทำพันธกิจที่MM ที่นี่คงเป็นที่แรก และคงเป็นที่เดียวสำหรับปีนี้ เนื่องจากเรายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำที่กทม. ดังนั้นการเดินทางไปทำอะไรที่ต่างประเทศคงเป็นเรื่องที่จะทำในปีหน้าเป็นต้นไป วันนี้ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็ได้บันทึกความคิดเรื่องต่างๆเอาไว้ ว่ายังมีคนอีกมากมายเหลือเกินที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ เห็นคนเดินไปเดินมาชาติต่างๆที่สนามบิน ก็ไม่ทราบว่ามีกี่มากน้อยที่จะแสวงหาพระเจ้า ไม่เห็นห้องอธิษฐานเหมือนในบางศาสนา เมื่อมาดูประเทศไทยก็มีคนไทยมากมายเหลือเกิน รอให้เราไปทำการประกาศข่าวประเสริฐ 60 กว่าล้านคน ข้าพเจ้าคงอธิษฐานและอธิษฐานที่จะเห็นคนไทยมากมายมาหาพระเจ้าเหมือนในวันนี้ที่เราได้ชมHope TVไป

เมื่อมาถึงสนามบินMM เห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนามากขึ้น คงเพื่อต้อนรับชาวต่างประเทศที่มาเยือนประเทศ เมื่อก่อนสนามบินโทรม ไฟดับเป็นระยะ จะเข้าประเทศก็ต้องแลกเงินกำหนดจำนวนไม่ต่ำกว่าเท่าที่กำหนด จะเข้าห้องน้ำทีก็มีคนตามมาคอยเก็บเงิน ฯลฯ เดี๋ยวนี้อาคารสนามบินใหม่ ทันสมัย มีท่าเทียบเครื่องบิน ไม่บังคับแลกเงินของเขาแล้ว ฯลฯ อะไรอะไรก็เปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้แข่งขันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันนี้มาเช็คเน็ตเพราะเห็นที่โรงแรมมีไวร์เลส แต่พบว่าไม่สามารถเช็คอีเมล์ใดได้ จะส่งบทความในblog ก็ไม่สามารถส่งได้ อะไรที่เป็นด้านการสื่อสารดูจะถูกกันไว้หมด เมื่อผมเดินทางไปค่าย อ.ราชกิจก็ชี้ให้ผมดู เดี๋ยวนี้คนในประเทศนี้ใส่กางเกงกันมากขึ้น โลกเปลี่ยนไป สิ่งที่อยู่ในโลกก็ค่อยๆซึมเข้ามาในประเทศนี้ ไม่สามารถป้องกันได้หมด นี่ผมคิดอย่างนี้ เหมือนกัน ในคริสตจักรก็เช่นกัน เราจะปิดคริสตจักรไม่รับรู้ข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆคงไม่ได้ อย่างไรแล้ว สิ่งนั้นก็คงไหลเข้ามาในคริสตจักรได้อยู่ดี แต่สิ่งที่เราทำได้คือสั่งสอนแบ่งปันหลักพระวจนะที่ครบถ้วน ถูกต้อง ให้กับสมาชิกได้ทราบ นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดจะทำ ผมมีเวทีการสื่อสารอยู่แล้วนั่นคือในการเทศนา นอกจากนั้นก็คือการประชุมหัวหน้าแคร์ การประชุมผู้นำอภิบาล การประชุมกับทีมงานด้านต่างๆ Hope TV ฯลฯ

สำหรับในค่ายนี้ ก็ไปใช้ในโรงเรียนพระคัมภีร์กัน แปลกไหม! ผมคิด.... อยู่ในประเทศที่ถูกปิดกั้นด้านต่างๆ ความเจริญของประเทศน้อยกว่าประเทศเราแบบเทียบกันไม่ได้ ฯลฯ แต่ว่า... คริสเตียนมากกว่าประเทศเรา เป็นเพราะเหตุอะไรกัน บางทีถ้าพี่น้องมีคำตอบ แบ่งปันให้พวกเราได้ข้อคิดก็ดีครับ

เหมือนเช่นเคยที่ได้เคยมา ได้สอนสำหรับที่นี่ ซึ่งก็เป็นการเริ่มต้นงานใหม่เช่นกัน เพียงแต่ว่าที่นี่เริ่มมาได้หนึ่งปีแล้ว และคนนำก็เป็นคนใหม่ ผมมาที่นี่ก็ได้วางมืออธิษฐานเจิมผู้นำไว้สำหรับการนำคริสตจักรต่อไป เช่นเคย อาหารอร่อยมาก ทุกครั้งที่มา ถ้าไม่ระวัง กลับไปน้ำหนักเพิ่มครับ สำหรับที่นี่เขาบอกว่าเขาจะไปเยี่ยมตองจีกัน เป็นเมืองอยู่บนภูเขาสูง ไม่เหมือนที่ใดใดในประเทศนี้.. สวมเสื้อหนาวกันตลอดเวลา แหม! ชักอยากไปบ้างซะแล้วสิ เดี๋ยวขอเวลาสร้างกรุงเทพฯให้แข็งแรงก่อน อนาคตถ้าพระเจ้าทรงนำ ได้มาร่วมทริปแน่ ผมจะชวนพี่น้องประเทศไทยมาด้วย ใครอยากมา เก็บเงินร่วมเดินทางไปด้วยกัน ทั้งได้สัมผัสวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนบ้านเรา ทั้งได้รับประทานอาหารที่ไม่เหมือนบ้านเรา ได้เห็นโลกกว้างขึ้น ได้สนับสนุนพี่น้อง ได้เป็นกำลังใจให้พวกเขา ฯลฯ เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ชักเริ่มฝัน ฝันเรื่องไปตั้งคริสตจักรในต่างประเทศ แล้วก็จัดทริปชวนคนไทยไปเยี่ยมเยียนพวกเขาในประเทศต่างๆด้วยกัน ใครไปมาก็เล่าประสบการณ์การไปเยี่ยมเขียนลงบล็อกตนเอง เป็นไงครับ

มานี่ ก็ได้ฝันหลายอย่างครับ ฝันว่าจะทำอะไรบ้างในกรุงเทพฯ ฝันแล้วก็ต้องฝากไว้กับพระเจ้าเพื่อความฝันนั้นจะได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา พรุ่งนี้คงมีเวลาฝันหรือใคร่ครวญเรื่องต่างๆได้มากขึ้นครับ เพราะพรุ่งนี้ผมไม่ได้ไปที่ค่าย จะได้มีเวลาคิดใคร่ครวญเรื่องต่างๆ รวมทั้งเขียนพระวจนะเตรียมลงบล็อกด้วย

สำหรับคืนนี้ได้เทศนาฟื้นฟู สิ่งที่ทำให้รู้ว่าพระเจ้ามาเยี่ยมเยียนพวกเขา และอยู่ด้วยกับพวกเขาคือพระสิริของพระเจ้าครับ เห็นที่MM เหมือนกับที่ผมเห็นที่ประเทศไทยเลย พระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเจ้ารักพวกเขาและอยู่ด้วยกับพวกเขาจริงๆ ขอให้การมาที่นี่ของพวกเรา เป็นที่หนุนจิตชูใจ ให้คริสตจักรพระเยซูเข้มแข็งและปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าต่อไป

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันนี้ไม่ได้ไปไหน ได้ใช้เวลาอดอาหารอธิษฐานแสวงหาพระเจ้าสำหรับคริสตจักรความหวังกรุงเทพฯ สำหรับประเทศไทยและคนต่างๆ ผมอธิษฐานเผื่อคริสตจักรอย่างนี้ด้วยว่า ขอพระเจ้าประทานความสุขให้กับสมาชิกทุกคน ให้มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบิกบานออกมาจากใจ ให้คริสตจักรความหวังกรุงเทพฯเติบโตขึ้นมาใหม่บนรากฐานแห่งพระวจนะพระเจ้า และบนรากฐานแห่งของประทานของพระเยซูคริสต์ทั้งห้า นอกจากนั้นก็เตรียมเรื่องเพื่อเขียนในบล็อกทั้งบล็อกการรับใช้และบล็อกพระวจนะ สำหรับการรับใช้ วันนี้ก็กระจ่างแจ้งสำหรับเรื่องของประทาน คงจะได้มาแบ่งปันต่อไป ส่วนเรื่องพระวจนะที่จะเขียนในวันเสาร์นี้ ก็ยังเป็นความสงสัยอยู่ที่ต้องถามพระเจ้าก่อนที่จะนำมาแบ่งปัน

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันสุดท้ายของการอยู่ที่นี่ วันนี้ได้ไปสอนอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เดินทางกลับไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน ระหว่างทางไปก็แวะชมโครงการเนอสเซอรี่ของที่นี่ซึ่งกำลังจะเปิดใช้งานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เสร็จเขาก็พาไปแวะทานอาหารเที่ยง ซึ่งในรายการที่สั่งมาไม่มีเมนูอาหารMMสักจาน มีแต่อาหารจีน อาหารไทย ผมชอบอาหารที่นี่ครับ ถ้ามาต่างแดนผมชอบรับประทานอาหารบ้านเขามากกว่า เพราะหารับประทานไม่ได้ในประเทศเรา และสำหรับอาหารที่นี่ก็อร่อยซะด้วยสิ....

สุดท้ายก็มานั่งรอขึ้นเครื่อง และเขียนบทความนี้เป็นครั้งสุดท้ายนี่แหละครับ การเข้ามาที่สนามบินที่นี่ก็แสนง่าย ไม่มีขั้นตอนตรวจตรายุ่งยากเหมือนบ้านเรา ไม่เข้มงวดเหมือนบ้านเรา แต่ถ้าเทียบกับอิสราเอลแล้ว บ้านเราเป็นเหมือนเด็กอนุบาลไปเลย ขอบคุณพระเจ้าสำหรับโอกาสที่ได้มาที่นี่ ได้มาหนุนจิตชูใจคนที่นี่ ขอพระเจ้าอยู่ด้วยกับประเทศนี้ และขอทรงสนับสนุนงานคริสตจักรที่นี่ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน...

2 ความคิดเห็น:

  1. เอเมนด้วยคนค่ะ..
    สำหรับเรื่องเรื่องที่ อ.แปลกใจ ว่า

    อยู่ในประเทศที่ถูกปิดกั้นด้านต่างๆ ความเจริญของประเทศน้อยกว่าประเทศเราแบบเทียบกันไม่ได้ ฯลฯ แต่ว่า... คริสเตียนมากกว่าประเทศเรา เป็นเพราะเหตุอะไรกัน

    เนื่องจากภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เชียงใหม่ ในอำเภอที่ติดกับ MM และคุณพ่อเคยทำงานร่วมกับคน MM ค่อนข้างเยอะจึงทำให้ได้คลุกคลีกับพวกเขาพอสมควร ขออนุญาติแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ค่ะ

    ลักษณะนิสัยของคน MM ถ้าเขาเชื่อแล้วเขาจะเชื่อสุดใจและแสดงออกเป็นการกระทำที่ชัดเจนมาก(ทำให้ส่วนใหญ่เขาประกาศพระเจ้าผ่านการสำแดงชีวิตมากกว่าการเล่าเรื่องข่าวประเสริฐ)แต่ก็เล่าบ้างอาจจะไม่ละเอียดเหมือนที่เคยพบในประเทศเรา

    ดังนั้นการประกาศพระเจ้าแบบสายสัมพันธ์จะเป็นไปอย่างธรรมชาติในชีวิตประจำวันของเขา หรือที่เราอาจเรียกว่า ชีวิตกระทบชีวิต

    ประสบการณ์ที่เคยสัมผัสมา คือ ส่วนใหญ่เขาจะตื่นเต้นและดีใจมากถ้าจะถึงวันที่จะได้ทำในสิ่งที่เขาเชื่อ(ไปโบสถ์หรือไปในสถานที่ๆเขาเชื่อในความเชื่ออื่น หรือ เทศกาลต่างๆ)และที่เห็นทุกครั้ง คือ ไม่ว่าเขาจะมีธุระหรืออย่างอื่นที่ต้องทำ เขาจะต้องไปแสดงออกซึ่งความเชื่อของเขาก่อนที่จะไปทำงานหรือธุระเหล่านั้น
    ข้าพเจ้าคิดว่าอย่างน้อยๆสิ่งที่เขาเหล่านั้นทำให้เห็นถึงความเป็นแบบอย่างซึ่งกันและกันได้อย่างชัดเจนว่า ความเชื่อที่แท้จริงย่อมส่งผลออกมาเป็นการกระทำ..

    ขอพระเจ้าอวยพระพรพี่น้องทุกท่านตามน้ำพระทัยของพระองค์ค่ะ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณครับ สำหรับความคิดเห็น

    ตอบลบ