วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บันทึกความปรารถนาที่ต้องการให้พระเจ้าทรงกระทำในชีวิต

ตอนที่เขียนความคิดต่างๆนี้นั้น ก็เกือบจะสิ้นปี 2010แล้ว ผมพบว่าสิ่งต่างๆที่ได้เขียนไปก่อนหน้านี้นั้น ถ้าไม่ได้เขียนไว้ ผมคงลืมไปหมดสิ้นแล้ว

ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าควรมีการบันทึกสิ่งต่างๆที่ปรารถนาจะเห็นบังเกิดขึ้นในคริสตจักรหรือในชีวิตของผม ลงไว้ในบล็อกเพื่อป้องกัีนการลืม เมื่อเวลาผ่านไป

สิ่งแรกก็คืออายุการรับใช้  ผมคงไม่มีการเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปีเป็นแน่  ผมขอเป็นแบบที่ผู้รับใช้รุ่นก่อนๆในพระคัมภีร์เป็นกัน คือรับใช้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ไม่ว่าจะเป็นโมเสส เปาโล เปโตร ฯลฯ

แล้วงานรับใช้อะไรล่ะที่ประสงค์จะทำ  ผมคงไม่เลือกว่าจะทำอะไรเป็นแน่ แต่ขอให้พระเจ้าเลือกใช้ผมตามที่พระองค์เห็นควรแล้วกัน  ถ้าขอได้ผมคงขอทำทุกอย่างครับ ทุกอย่างในของประทานทั้งห้า ขอทำหมด ถ้าเป็นที่พอพระทัยและเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตผม

สำหรับปีนี้ปี 2010 ก็ได้ทำในสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงนำแล้ว บางสิ่งก็ยังไม่ได้ทำ จะทำปีหน้า การจัดทัพ การประสานความร่วมมืออ้นดีต่อกันและกันในหมู่สมาชิก  การจัดองค์กร การแสวงหาพระเจ้าด้วยการชักชวนสมาชิกให้อดอาหารอธิษฐาน  การเริ่มต้นงานในพันธกรทั้งห้า  การหนุนใจสมาชิกให้มีความห่วงใยในคนต่างๆที่มีความทุกข์และนำเขาให้มาพบกับสันติสุขแท้จริง การขอพระเจ้าประทานความสุขให้เกิดขึ้นกับสมาชิกทุกคน  การพัฒนาสมาชิกไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์  การเตือนใจสมาชิกให้รับรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของยุค  การจุดไฟของพระเจ้าในท่ามกลางสมาชิกทั้งหลาย  การแบ่งกลุ่มคนหลากหลายในคริสตจักรและการดูแล  การสอนสมาชิกให้มีความถ่อมใจ ไม่ยกตนข่มท่าน การสอนสมาชิกให้ยกพระเยซูขึ้นสูง ให้พระเยซูคริสต์ได้รับพระเกียรติแต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่ให้มนุษย์ได้รับเกียรติ ฯลฯ ทุกสิ่งที่พระเจ้าดลใจ พระเจ้าเร้าใจ พระเจ้าบอก ตั้งใจตอบสนองพระองค์ทั้งสิ้น

ขอพระเยซูคริสต์ได้รับพระเกียรติ และทรงนำหน้าเราต่อไป ในปี 2011 ขอให้ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงเป็นปีแห่งการเริ่มต้นใหม่  ให้คริสตจักรมีความเข้มแข็งในด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้นไปอีก ให้ไม่เป็นเพียงงานที่ทำกับคริสเตียนเท่านั้น แต่เป็นงานทีจะส่งผลดีต่อสังคมไทยและสังคมโลก ถ้าเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า

ปีหน้าก็จะขอพระเจ้าทรงกระทำในคริสตจักรให้เป็นพระพรต่อคริสตจักรความหวังในภาคกลางและคริสตจักรความหวังทั้งประเทศไทย  ขอพระเจ้าประทานฐานะทางการเงินให้มีเพียงพอเพื่อจะทำสิ่งอื่นๆต่อไปในปี 2012ด้วย (มีหลายเรื่องอยู่ในใจแล้ว ขอพระเจ้าประทานการทรงนำด้วย)   ขอพระเจ้าช่วยให้ปีหน้าคริสตจักรความหวังกรุงเทพฯจะจุดไฟในชุมชนต่างๆให้ติด ให้เป็นแสงสว่างแก่คนในชุมชนนั้น  ขอพระเจ้าประทานการทรงนำให้รู้แนวทางในการทำพันธกิจปลอบประโลม  ขอพระเจ้าประทานหมายสำคัญและการอัศจรรย์ให้บังเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ขอการอัศจรรย์เพิ่มพูนขึ้นในคริสตจักรความหวังกรุงเทพฯมากขึ้นไปกว่าปีนี้และมากขึ้นๆไปเรื่อยๆตลอดชีวิตการรับใช้

ในอนาคตขอพระเจ้าทรงนำให้รู้ว่าจะจัดการประกาศใหญ่ในสนามกีฬาได้อย่างไร ขอพระเจ้าประทานความสามารถและของประทานต่างๆเพื่อจะสามารถจัดงานให้เป็นที่ถวายพระเกียรติพระเจ้าได้  ขอพระเจ้าประทานการอวยพรมาถึงสมาชิกทุกคนให้สูงขึ้นทางเดียว เป็นผู้ที่มีผลต่อคนในสังคมไทยได้  ขอพระเจ้าช่วยให้เรารู้อนาคตของกรุงเทพมหานคร เพื่อเราจะรู้ว่าเราควรจะสร้างที่ประชุมชั้น3หรือไม่  ขอพระเจ้าประทานปัญญาให้รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปสำหรับกรุึงเทพฯและภาคกลาง

ปี 2012 ถ้าเป็นที่พอพระทัย เราจะก้าวไปทำพันธกิจโลกและพันธกิจชา่ติพันธุ์  อาเมน..

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เริ่มเยี่ยมแคร์ อธิษฐานสถาปนาแคร์

        อาทิตย์นี้แล้วจะเริ่มไปเยี่ยมแคร์ต่างๆ และอธิษฐานขอพระเจ้าสถาปนาแคร์ที่นั่น เป็นแคร์แห่งพระพร การเสริมสร้าง แคร์ประกาศ แคร์อภิบาล แคร์ผู้ปลอบประโลม ฯลฯ ขอพระเจ้าทรงเจิมแคร์ต่างๆเพื่อเป็นความหวังสำหรับคนกรุงเทพฯ  ไปที่ไหนมาแล้วจะพยายามถ่ายภาพมาลงไว้ที่facebookครับ ชื่อผมในfacebook คือ Paul P Wittayaครับ และอีเมล์ที่ใช้คือ paul2020@windowslive.comครับ

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

แนวคิดและไอเดียที่จะทำ

         วันนี้มานั่งบันทึกสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และสิ่งที่จะเกิดต่อไปในอนาคต  ถ้าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ก็ขอพระองค์ประทานความสำเร็จให้
          ก่อนผมจะรับหน้าที่นี้ พระเจ้าได้ใส่ความคิดเรื่องการเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรความหวังกรุงเทพฯ มาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมปี09แล้ว ซึ่งตอนนั้นผมก็คิดว่า คิดอย่างนี้ได้ไง นี่ไม่ได้มาจากพระเจ้า แล้วผมก็อธิษฐานในนามพระเยซูขับไล่ความคิดนี้ไป  อธิษฐานเท่าไรความคิดนี้ก็ไม่ยอมไป  ก็เลยจดความคิดที่คิดจะทำเก็บเอาไว้ และไม่ได้บอกใครแม้แต่ภรรยา จนกระทั่งปลายเดือนธันวาคมถึงเปิดเผยความคิดนี้ให้ทราบ สิ่งที่ผมถูกผีมารซาตานโจมตีตอนต้นเดือนธันวาคม ดังได้เล่าไว้ในบล็อกที่ผมเขียนเรื่องพระวจนะนั้น พี่น้องคนหนึ่งในคริสตจักรบอกว่า ไม่ใช่เพราะเรื่องงานชนเผ่าที่ไปประกาศแน่ เพราะถ้าเป็นเพียงเรื่องการประกาศในงานชนเผ่าแค่นั้น ผีมารคงไม่เล่นงานหมายเอาชีวิตเป็นแน่  ต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งก็ได้แก่เรื่องการมารับบทบาทหน้าที่ในคริสตจักรความหวังกรุงเทพฯ
          ก่อนมาทำหน้าที่เต็มตัว พระเจ้าก็ให้ความคิด คำจากพระคัมภีร์ และเมื่อมารับหน้าที่เต็มตัวแล้วก็มีความคิดเริ่มต้นจากการพาสมาชิกให้อธิษฐานอดอาหารแสวงหาพระเจ้าสำหรับคริสตจักร ตามมาด้วยการทำงานบริหารด้วยของประทานทั้งห้า
          เริ่มจากผู้ประกาศ เริ่มฝึกสมาชิกให้ชักชวนคนมาเชื่อพระเจ้าที่คริสตจักร ประจวบเหมาะกับมีงานอีสเตอร์ และวิทยากรในค่ายก็มีของประทานผู้ประกาศด้วย จึงไหลมาตามกระแสนี้ ไม่ใช่เหตุบังเอิญเป็นแน่  นี่เป็นการจัดเตรียมของพระเจ้า   อันดับต่อไปคือฝึกให้สมาชิกประกาศ เป็นพยานง่ายๆ โดยใช้สื่อคือใบปลิวคำพยาน ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ทำจริงจังนัก แต่พูดไปบ้างแล้ว  และสุดท้ายฝึกสมาชิกให้นำรับเชื่อเป็น ไม่เพียงรอพาคนมาคริสตจักรเท่านั้น  พระเจ้าบอกผมให้จุดไฟในการประกาศ เริ่มจากเล็กๆน้อยๆ จนกระทั่งไฟลุกท่วมโบสถ์ และกระจายออกไปภายนอกด้วย  นี่คือไฟการฟื้นฟูเรื่องการประกาศ
          ต่อมาที่พระเจ้าใส่ความคิดไว้ให้ทำคือเรื่องแคร์ จุดไฟให้ติดในแคร์แต่ละแคร์ และเตรียมแคร์ไว้เป็นทีมผู้ปลอบประโลมใจ ทีมประกาศ ทีมอภิบาล  ฝึกและให้ความสำคัญกับกลุ่มแคร์ให้มีการเคลื่อนไหวของพระเจ้าในแต่ละแคร์ ให้มีหมายสำคัญการอัศจรรย์เกิดขึ้นโดยพระคุณพระเจ้า

ครับ ที่เล่าให้ฟังนี้ก็เป็นเรื่องหลักๆใหญ่ๆ  เรื่องรองๆลงไปย่อยๆ ก็มีอีกหลายสิ่งเป็นจำนวนมาก ซึ่งคงจะไม่เล่าให้ฟังละครับ เรื่องการจัดสายการปกครองในคริสตจักร  เรื่องการทำงานเป็นทีมผู้นำในระดับต่างๆ เรื่องการทำงานพันธกิจ เรื่องช่วงเวลาในการทำงานช่วงต่างๆ  เรื่องการฝึกและสร้างสมาชิกไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์ และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ครับ ก็คงค่อยๆทำไป โดยพระคุณพระเจ้าและขอให้ทุกสิ่งที่ตั้งใจทำเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าครับ

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

ผู้ประกาศ


คำนี้มีเพียงแค่สามครั้งเองในพระคัมภีร์ ในกิจการ ในเอเฟซัส และ 2ทิโมธี
G2099 εὐαγγελιστής euaggelistes (yoo-ang-ghel-is-tace') n.
1. a proclaimer of the good news of redemption through Jesus (i.e. proclaimer of the gospel of Jesus)
[from G2097]
KJV: evangelist

ผู้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งการไถ่ของพระเยซูคริสต์

เมื่อดูจาก G2097 มีการกล่าวถึงคำนี้ในหลายที่ เช่น การที่พระกิตติคุณถูกเทศนาออกไป และหลายๆข้อก็บอกถึงการเทศนา เช่นการเทศนาถึงแผ่นดินของพระเจ้า  เป็นการเทศนาข่าวประเสริฐ
G2097 εὐαγγελίζω euaggelizo (yoo-ang-ghel-id'-zo) v.
1. to bring good news
2. "evangelize"
3. (especially) to proclaim the good news of redemption through Jesus (i.e. the gospel)

คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศ จะมีความกล้าหาญในการประกาศพระนามพระเจ้า ไม่อาย ไม่กลัว และมีใจหิวกระหายที่จะให้พระวจนะของพระเจ้า ข่าวประเสริฐได้ลงไปในใจคน  เขามีความสามารถในการคุยกับคน ให้พระเจ้าเปิดใจคนมาถึงพระกิตติคุณของพระเจ้า  ของประทานผู้ประกาศนี้มาควบคู่กับหมายสำคัญการอัศจรรย์เพื่อรับรองสิ่งที่เขาประกาศ

ขอยกข้อพระคัมภีร์ที่ผมชอบมากสำหรับเรื่องการประกาศ ได้แก่ มาระโก 16:15-20
15   ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า  "เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก  ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน
16   ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด  แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ
17   มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น  คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา  เขาจะพูดภาษาแปลกๆ
18   เขาจะจับงูได้  ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด  จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา  และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย  แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค"
19   ครั้นพระเยซูเจ้าตรัสสั่งเขาแล้ว  พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ให้ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์  ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
20   พวกสาวกเหล่านั้นจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งทุกตำบล  และพระเป็นเจ้าทรงร่วมงานกับเขาและทรงสนับสนุนคำสอนของเขา  โดยหมายสำคัญที่ประกอบนั้น

ทุกคนทำนะครับ ไม่มีข้อยกเว้นว่าจะมีของประทานผู้ประกาศหรือไม่มี  เป็นคำสั่งที่พระเยซูให้ไว้กับสาวกของพระองค์ทุกคน  สิ่งที่มาควบคู่กันกับการออกไปประกาศของพวกเขาคือหมายสำคัญ  เราต้องขอพระเจ้าช่วยให้คนทั้งหลายมีใจเชื่อ เพราะนั่นเป็นกุญแจสำคัญไปสู่หมายสำคัญการอัศจรรย์  เขาจะเชื่อได้ เขาต้องได้ยินพระกิตติคุณที่เสริมสร้างความเชื่อเขา  หรือได้ยินคำพยาน ซึ่งบางคำพยานจะไปตรงกับประสพการณ์ที่เขาคนนั้นเผชิญอยู่  เขาจะเปิดใจออก ต้อนรับพระเยซู และมีใจเชื่อพร้อมจะเห็นหมายสำคัญเกิดขึ้นกับคนนั้น

ผมจำได้สำหรับครั้งแรกในชีวิตของผมที่อธิษฐานเผื่อขอพระเจ้าช่วยให้คนหายโรค นั่นคือลูกตัวเล็กๆของคนทำความสะอาดในคริสตจักรที่ผมเป็นสมาชิกสมัยก่อน  เด็กหกล้มปากกระแทกพื้นเลือดกลบปาก ฟันหัก ร้องไห้ใหญ่เลย ตอนผมเข้าไปในคริสตจักร  ผมรับฟังสิ่งที่แม่เขาบอกเกี่ยวกับลูก แล้วผมก็เดินกำลังออกไปจากโบสถ์  มีเสียงเข้ามาในใจให้กลับไปอธิษฐานเผื่อเด็กคนนั้น  ผมก็กลับไปและอธิษฐานเผื่อ  เมื่ออธิษฐานเสร็จผมก็เข้าไปในห้องคุกเข่าอธิษฐานซ้ำไปซ้ำมาว่าขอพระเจ้าช่วยรักษาเด็กคนนี้ด้วย  เนื่องด้วยผมไม่มีความเชื่อ จึงอธิษฐานซ้ำซากเหมือนคนต่างชาติในพระคัมภีร์ อธิษฐานอยู่ยาวนาน จนกระทั่งพอสบายใจบ้างแล้วว่าพระเจ้าจะฟัง จึงได้กลับ   วันรุ่งขึ้นผมมาที่นั่นอีก  พบแม่ของเด็กบอกว่าขอบคุณพระเจ้าที่เมื่อคืนเด็กหลับสบายได้ ไม่กวนเลย  ผมมีความเชื่อขึ้นมาทันที ขอบคุณพระเจ้า  หลังจากวันนั้น เมื่อเป็นพยานกับใคร ก็จะท้าชวนให้เชื่อพระเจ้าและอธิษฐานเพื่อจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์

หลังจากวันนั้น ไปพบนักเรียนคนหนึ่งที่เชียงใหม่ มีพ่อป่วยอยู่ต่างอำเภอ ผมก็ท้าทายเขาว่า เชื่อไหมว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่  พระเจ้าสามารถรักษาพ่อของน้องได้  วันนั้นอธิษฐานด้วยกันขอพระเจ้าไปทำการรักษาพ่อของเขาที่ต่างอำเภอ   หลังจากนั้นได้พบน้องคนนี้อีก และทราบว่าพ่อเขาหายโรคจริงๆ  ยิ่งมีความเชื่อเข้าไปใหญ่

อีกครั้งหนึ่ง ไปประกาศกับพี่น้องชนเผ่าที่อยู่บนดอยที่อำเภออมก๋อย  ไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่นั่น  กำลังนั่งดีดกีต้าร์อยู่ ก็มีคนเอาลูกที่หูหนวกมาให้วางมือ  ผมก็หันไปคุยกับลูกเขา  คุยกันไม่ได้  ไม่ได้ยิน  ทราบจากแม่เขาว่าเพิ่งมาหูหนวกเอาภายหลัง ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด  ผมก็บอกแม่เขาว่า แม่ต้องเชื่อแทนลูกนะ เพราะลูกเขาไม่ได้ยินอะไร พระคัมภีร์บอกว่าเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง  เชื่อไหมว่าพระเจ้าสามารถรักษาเด็กคนนี้ได้  เชื่อไหมว่าพระเจ้าสามารถรักษาให้หายได้เดี๋ยวนี้  แล้วผมก็หันไปทำท่าทางภาษาใบ้บอกเด็กว่าพระเยซูรักหนู  พระเยซูต้องการช่วยหนู นึกถึงพระเยซูที่ตายบนไม้กางเขนเอาไว้  แล้วผมก็บอกให้แม่เขาเอานิ้วแยงเข้าไปที่หูข้างหนึ่ง  ส่วนผมแยงเข้าไปที่หูอีกข้างหนึ่ง แล้วก็เริ่มต้นอธิษฐาน  พออธิษฐานเสร็จ ก็ดีดนิ้วที่ข้างหูเด็ก  เด็กก็พนักหน้าว่าได้ยิน  ผมก็เดินห่างออกไป  แล้วดีดนิ้วอีก  เด็กก็พยักหน้าบอกว่าได้ยิน  ผมก็เดินออกไปห่างไกลออกไปอีกแล้วตบมือ  เด็กก็พยักหน้า  ขอบคุณพระเจ้า  พระเยซูรักษาเด็กคนนั้น  สิ่งนี้ก็นำความยินดีมาสู่หมู่บ้านนั้นครับ  วันรุ่งขึ้นมีคนมากันอีกเต็มไปหมดขอให้อธิษฐานเผื่อโรคภัยไข้เจ็บของเขา
ในอำเภอนี้ผมได้เดินทางไปอีกหมู่บ้านหนึ่งด้วยได้ยินว่ามีคนเจ็บป่วยอยู่ จึงไปหาเขา  พบว่าคนนี้ถูกผีเข้า อธิษฐานวางมือเท่าไร ผีก็ไม่ออก  อธิษฐานอยู่เป็นนาน  ทำอย่างไรดี  แล้วก็เกิดความคิดว่า จะอ่านพระคัมภีร์ให้เขาฟัง  ก็เลยบอกให้คนอ่านพระคัมภีร์ภาษาของพวกเขา ให้คนๆนี้ฟัง  อ่านตอนไหนก็ได้ อ่านไปเรื่อยๆ  เพราะผมเชื่อว่าพระคัมภีร์มีฤทธิ์เดช  เมื่อเขาอ่าน คนที่ถูกผีสิงนั้นก็ได้ฟังพระวจนะไปเรื่อยๆ ทีละบท ๆ   ได้ผลแฮะ ผมคิด เขาค่อยๆผ่อนคลายลงเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกตัวดี แล้วจึงได้อธิษฐานเผื่อเขาอีกครั้งหนึ่ง

นี่ก็เป็นเรื่องการประกาศส่วนตัว สำหรับการประกาศกลางแจ้ง ได้เริ่มต้นเทศนาครั้งแรก ไม่มีคนเชื่อเลย  อาจารย์ที่ดูแลผมสมัยนั้นได้หนุนใจให้ทำต่อไป  ครั้งต่อมาได้ประกาศอีก ผมประหลาดใจมาก เทศนายังไม่ทันจบเลย  คนยกมือกันขอเชื่อเต็มไปหมดเลย  นี่ก็เป็นสิ่งที่หนุนใจว่า อย่าท้อถอย แม้ครั้งแรกทำสิ่งใดไม่สำเร็จ ทำต่อไป

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

ศิษยาภิบาล

ศิษยาภิบาล pastors

          ต่อไปนี้ เราก็เริ่มต้นมาศึกษาจากของประทานแต่ละด้าน คำว่า ศิษยาภิบาล = ผู้เลี้ยง เห็นท่านต่างๆที่เคยมาสอนหรือแบ่งปันบอกว่ามีครั้งเดียวคำว่าศิษยาภิบาล ในภาษาอังกฤษ ซึ่งนั่นก็จริง แต่ลองจินตนาการดูนะครับ เวลาผู้เขียนพระคัมภีร์เขียนถึงใคร เขาเขียนเป็นภาษากรีก และคนอ่านก็อ่านจากภาษากรีกนั้น  ดังนั้นแล้วเขาจะเข้าใจไหมว่า poimenคำนี้เป็นpastors poimenคำนี้เป็นshepherd   ผมคิดว่าไม่ใช่ครับ ในภาษากรีกคือคำเดียวกัน มีปรากฏในหลายที่ซึ่งนั่นก็คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ ผู้เลี้ยงทำอะไร มีลักษณะอย่างไร เราสังเกตุได้จากพระคัมภีร์

         โดยสรุป poimen คือผู้เลี้ยง เหมือนผู้เลี้ยงที่ดูแลฝูงแกะ คอยปกป้องฝูงแกะจากสุนัขป่า  คอยประคบประหงมเยียวยาบาดแผลให้  คอยนำฝูงแกะไปที่ทุ่งหญ้าเขียวสด  คอยพาฝูงแกะกลับไปเข้าคอกแกะ คอยเฝ้าดูแลแกะอยู่ในตอนกลางคืน  คอยส่งเสียงเรียกฝูงแกะ คอยนำไม่ให้แกะหลงทาง   ดูแลอย่างดีจนแกะฝูงนั้นอ้วนพีอุดมสมบูรณ์
G4166 ποιμήν poimen (poy-mayn') n.

1. a shepherd

เราเห็นคำนี้ poimen ในพระคัมภีร์ตอนต่างๆ เช่น
ศิษยาภิบาลมีของประทาน แยกแยะ สังเกตุวิญญาณ เพื่อแยกแพะออกจากแกะ มธ.25:32
32 บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ


ศิษยาภิบาลมีความเมตตาสงสาร มธ.9:36
36 และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง

ศิษยาภิบาลมีความปรารถนาเลี้ยงดูสั่งสอนฝูงแกะ มก.6:34
34 ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ และพระองค์ทรงสงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ

ศิษยาภิบาลเป็นผู้เลี้ยง ย่อมเข้าทางประตู ไม่ใช่ปีนรั้วเข้าไป เป็นผู้เลี้ยงไม่ใช่สุนัขป่า ยน.10:2
2 แต่ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ

ผู้เลี้ยงที่ดีให้ชีวิตของตนเองเพื่อฝูงแกะ ยน.10:11
11 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ

ผู้เลี้ยงรู้จักแกะของตน ยน.10:14
14 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา

ผู้ดูแลจิตวิญญาณของเรา 1ปต.2:25
25 เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นเหมือนแกะที่พลัดฝูงไป แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยงและผู้พิทักษ์วิญญาณจิตของท่านทั้งหลายแล้ว


          ก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไปเก็บมาได้จากที่ต่างๆมาเล่าให้พวกเราฟัง เขาบอกว่าโดยปกติแกะฝูงหนึ่ง จะมีแกะที่เป็นตัวนำฝูงอยู่สองสามตัว มันก็จะออกพาเดินไปตามที่ต่างๆ และแกะก็ชอบเปลี่ยนที่กินอาหารเสียด้วยตามพฤติกรรมธรรมชาติของมัน  เหนื่อยสำหรับผู้ดูแลแกะที่ต้องวิ่งตามแกะให้ทัน  เมื่อหัวขบวนไปทางไหน แกะทั้งฝูงก็จะวิ่งออกไปตามๆกัน  เขาบอกว่าในการดูแลฝูงแกะนั้น จะมีบางตัวชอบแตกแถว  บางตัวก็ไม่ชอบรวมกลุ่ม  และสำหรับแกะที่เพิ่งเกิดใหม่ยังไม่แข็งแรง เมื่อไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ก็อาจถูกสุนัขแถวนั้นกัดตายได้ (ข้อมูลจากบ้านแกะ อ.สูงเนิน โคราช)

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประสบการณ์ต่างประเทศครั้งแรกสำหรับปี 2010

ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในแต่ละวันและว่าจะส่งลงblogเพราะเห็นที่โรงแรมมีเน็ต แต่ว่าเมื่อเข้าไปพบว่าอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะด้านการสื่อสารเช่น การเขียนอีเมล์ , การเขียนblog ฯลฯ ถูกบล็อคเอาไว้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องบันทึกเก็บไว้ และมาส่ง เมื่อกลับมาเมืองไทยดังข้างล่าง

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันนี้ได้มาทำพันธกิจที่MM ที่นี่คงเป็นที่แรก และคงเป็นที่เดียวสำหรับปีนี้ เนื่องจากเรายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำที่กทม. ดังนั้นการเดินทางไปทำอะไรที่ต่างประเทศคงเป็นเรื่องที่จะทำในปีหน้าเป็นต้นไป วันนี้ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็ได้บันทึกความคิดเรื่องต่างๆเอาไว้ ว่ายังมีคนอีกมากมายเหลือเกินที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ เห็นคนเดินไปเดินมาชาติต่างๆที่สนามบิน ก็ไม่ทราบว่ามีกี่มากน้อยที่จะแสวงหาพระเจ้า ไม่เห็นห้องอธิษฐานเหมือนในบางศาสนา เมื่อมาดูประเทศไทยก็มีคนไทยมากมายเหลือเกิน รอให้เราไปทำการประกาศข่าวประเสริฐ 60 กว่าล้านคน ข้าพเจ้าคงอธิษฐานและอธิษฐานที่จะเห็นคนไทยมากมายมาหาพระเจ้าเหมือนในวันนี้ที่เราได้ชมHope TVไป

เมื่อมาถึงสนามบินMM เห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนามากขึ้น คงเพื่อต้อนรับชาวต่างประเทศที่มาเยือนประเทศ เมื่อก่อนสนามบินโทรม ไฟดับเป็นระยะ จะเข้าประเทศก็ต้องแลกเงินกำหนดจำนวนไม่ต่ำกว่าเท่าที่กำหนด จะเข้าห้องน้ำทีก็มีคนตามมาคอยเก็บเงิน ฯลฯ เดี๋ยวนี้อาคารสนามบินใหม่ ทันสมัย มีท่าเทียบเครื่องบิน ไม่บังคับแลกเงินของเขาแล้ว ฯลฯ อะไรอะไรก็เปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้แข่งขันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันนี้มาเช็คเน็ตเพราะเห็นที่โรงแรมมีไวร์เลส แต่พบว่าไม่สามารถเช็คอีเมล์ใดได้ จะส่งบทความในblog ก็ไม่สามารถส่งได้ อะไรที่เป็นด้านการสื่อสารดูจะถูกกันไว้หมด เมื่อผมเดินทางไปค่าย อ.ราชกิจก็ชี้ให้ผมดู เดี๋ยวนี้คนในประเทศนี้ใส่กางเกงกันมากขึ้น โลกเปลี่ยนไป สิ่งที่อยู่ในโลกก็ค่อยๆซึมเข้ามาในประเทศนี้ ไม่สามารถป้องกันได้หมด นี่ผมคิดอย่างนี้ เหมือนกัน ในคริสตจักรก็เช่นกัน เราจะปิดคริสตจักรไม่รับรู้ข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆคงไม่ได้ อย่างไรแล้ว สิ่งนั้นก็คงไหลเข้ามาในคริสตจักรได้อยู่ดี แต่สิ่งที่เราทำได้คือสั่งสอนแบ่งปันหลักพระวจนะที่ครบถ้วน ถูกต้อง ให้กับสมาชิกได้ทราบ นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดจะทำ ผมมีเวทีการสื่อสารอยู่แล้วนั่นคือในการเทศนา นอกจากนั้นก็คือการประชุมหัวหน้าแคร์ การประชุมผู้นำอภิบาล การประชุมกับทีมงานด้านต่างๆ Hope TV ฯลฯ

สำหรับในค่ายนี้ ก็ไปใช้ในโรงเรียนพระคัมภีร์กัน แปลกไหม! ผมคิด.... อยู่ในประเทศที่ถูกปิดกั้นด้านต่างๆ ความเจริญของประเทศน้อยกว่าประเทศเราแบบเทียบกันไม่ได้ ฯลฯ แต่ว่า... คริสเตียนมากกว่าประเทศเรา เป็นเพราะเหตุอะไรกัน บางทีถ้าพี่น้องมีคำตอบ แบ่งปันให้พวกเราได้ข้อคิดก็ดีครับ

เหมือนเช่นเคยที่ได้เคยมา ได้สอนสำหรับที่นี่ ซึ่งก็เป็นการเริ่มต้นงานใหม่เช่นกัน เพียงแต่ว่าที่นี่เริ่มมาได้หนึ่งปีแล้ว และคนนำก็เป็นคนใหม่ ผมมาที่นี่ก็ได้วางมืออธิษฐานเจิมผู้นำไว้สำหรับการนำคริสตจักรต่อไป เช่นเคย อาหารอร่อยมาก ทุกครั้งที่มา ถ้าไม่ระวัง กลับไปน้ำหนักเพิ่มครับ สำหรับที่นี่เขาบอกว่าเขาจะไปเยี่ยมตองจีกัน เป็นเมืองอยู่บนภูเขาสูง ไม่เหมือนที่ใดใดในประเทศนี้.. สวมเสื้อหนาวกันตลอดเวลา แหม! ชักอยากไปบ้างซะแล้วสิ เดี๋ยวขอเวลาสร้างกรุงเทพฯให้แข็งแรงก่อน อนาคตถ้าพระเจ้าทรงนำ ได้มาร่วมทริปแน่ ผมจะชวนพี่น้องประเทศไทยมาด้วย ใครอยากมา เก็บเงินร่วมเดินทางไปด้วยกัน ทั้งได้สัมผัสวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนบ้านเรา ทั้งได้รับประทานอาหารที่ไม่เหมือนบ้านเรา ได้เห็นโลกกว้างขึ้น ได้สนับสนุนพี่น้อง ได้เป็นกำลังใจให้พวกเขา ฯลฯ เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ชักเริ่มฝัน ฝันเรื่องไปตั้งคริสตจักรในต่างประเทศ แล้วก็จัดทริปชวนคนไทยไปเยี่ยมเยียนพวกเขาในประเทศต่างๆด้วยกัน ใครไปมาก็เล่าประสบการณ์การไปเยี่ยมเขียนลงบล็อกตนเอง เป็นไงครับ

มานี่ ก็ได้ฝันหลายอย่างครับ ฝันว่าจะทำอะไรบ้างในกรุงเทพฯ ฝันแล้วก็ต้องฝากไว้กับพระเจ้าเพื่อความฝันนั้นจะได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา พรุ่งนี้คงมีเวลาฝันหรือใคร่ครวญเรื่องต่างๆได้มากขึ้นครับ เพราะพรุ่งนี้ผมไม่ได้ไปที่ค่าย จะได้มีเวลาคิดใคร่ครวญเรื่องต่างๆ รวมทั้งเขียนพระวจนะเตรียมลงบล็อกด้วย

สำหรับคืนนี้ได้เทศนาฟื้นฟู สิ่งที่ทำให้รู้ว่าพระเจ้ามาเยี่ยมเยียนพวกเขา และอยู่ด้วยกับพวกเขาคือพระสิริของพระเจ้าครับ เห็นที่MM เหมือนกับที่ผมเห็นที่ประเทศไทยเลย พระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเจ้ารักพวกเขาและอยู่ด้วยกับพวกเขาจริงๆ ขอให้การมาที่นี่ของพวกเรา เป็นที่หนุนจิตชูใจ ให้คริสตจักรพระเยซูเข้มแข็งและปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าต่อไป

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันนี้ไม่ได้ไปไหน ได้ใช้เวลาอดอาหารอธิษฐานแสวงหาพระเจ้าสำหรับคริสตจักรความหวังกรุงเทพฯ สำหรับประเทศไทยและคนต่างๆ ผมอธิษฐานเผื่อคริสตจักรอย่างนี้ด้วยว่า ขอพระเจ้าประทานความสุขให้กับสมาชิกทุกคน ให้มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบิกบานออกมาจากใจ ให้คริสตจักรความหวังกรุงเทพฯเติบโตขึ้นมาใหม่บนรากฐานแห่งพระวจนะพระเจ้า และบนรากฐานแห่งของประทานของพระเยซูคริสต์ทั้งห้า นอกจากนั้นก็เตรียมเรื่องเพื่อเขียนในบล็อกทั้งบล็อกการรับใช้และบล็อกพระวจนะ สำหรับการรับใช้ วันนี้ก็กระจ่างแจ้งสำหรับเรื่องของประทาน คงจะได้มาแบ่งปันต่อไป ส่วนเรื่องพระวจนะที่จะเขียนในวันเสาร์นี้ ก็ยังเป็นความสงสัยอยู่ที่ต้องถามพระเจ้าก่อนที่จะนำมาแบ่งปัน

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันสุดท้ายของการอยู่ที่นี่ วันนี้ได้ไปสอนอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เดินทางกลับไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน ระหว่างทางไปก็แวะชมโครงการเนอสเซอรี่ของที่นี่ซึ่งกำลังจะเปิดใช้งานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เสร็จเขาก็พาไปแวะทานอาหารเที่ยง ซึ่งในรายการที่สั่งมาไม่มีเมนูอาหารMMสักจาน มีแต่อาหารจีน อาหารไทย ผมชอบอาหารที่นี่ครับ ถ้ามาต่างแดนผมชอบรับประทานอาหารบ้านเขามากกว่า เพราะหารับประทานไม่ได้ในประเทศเรา และสำหรับอาหารที่นี่ก็อร่อยซะด้วยสิ....

สุดท้ายก็มานั่งรอขึ้นเครื่อง และเขียนบทความนี้เป็นครั้งสุดท้ายนี่แหละครับ การเข้ามาที่สนามบินที่นี่ก็แสนง่าย ไม่มีขั้นตอนตรวจตรายุ่งยากเหมือนบ้านเรา ไม่เข้มงวดเหมือนบ้านเรา แต่ถ้าเทียบกับอิสราเอลแล้ว บ้านเราเป็นเหมือนเด็กอนุบาลไปเลย ขอบคุณพระเจ้าสำหรับโอกาสที่ได้มาที่นี่ ได้มาหนุนจิตชูใจคนที่นี่ ขอพระเจ้าอยู่ด้วยกับประเทศนี้ และขอทรงสนับสนุนงานคริสตจักรที่นี่ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน...

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

งานการรับใช้

ที่เล่ามาทั้งห้าด้านนั้น เป็นตัวอย่างของผมเทียบกับของประทานของพระเยซูคริสต์ที่เป็นคนที่พระเจ้าประทานให้มาในคริสตจักร 5 บุคคล ตามเอเฟซัส 4:11-13
11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น
13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์

เป้าประสงค์จากพระคัมภีร์ตอนนี้คือจนกว่าเราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อจะเติบโตเต็มที่จนถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ แล้วใครล่ะที่จะช่วยเตรียม พระคัมภีร์ได้บอกว่าคือของประทาน 5 บุคคลนี้ เตรียมเพื่อเราจะเป็นคนที่รับใช้ เตรียมเพื่อพระวรกายคือสมาชิกทั้งหมดจำเริญขึ้น โดยสรุปก็คือ พระเจ้าให้ของประทาน 5 บุคคลอยู่ในคริสตจักร (ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่เราจะทำกันต่อไป) เพื่อช่วยเตรียมธรรมิกชน ไปสู่ความไพบูลย์ในพระเยซูคริสต์

ตอนนี้เราก็คงสำรวจกันดูว่าแต่ละคนมีของประทานอะไร แล้วเรามาช่วยกันเสริมสร้างพระวรกายในคริสตจักรด้วยกัน ถามว่าแล้วเรามีของประทานอะไร ผมคิดว่ามี สามระดับในระดับของของประทานครับ 1) เป็นบุคคล 2) เป็นการรับใช้ 3) ทุกคนทำ

เรื่องนี้จะมาอธิขายต่อถ้าผมมีเวลานะครับ และมีอยู่1เรื่องที่ผมยังสงสัยอยู่ว่าทุกคนทำได้หรือไม่ ไว้ผมจะนำมาให้ท่านได้ลองอธิษฐานถามพระเจ้า และได้ลองใช้ความคิดดูครับ

ข้างล่างนี้เป็นความคิดที่ผมคุยกับเลขาฯผม และลองให้เขาเขียนดูครับ ซึ่งผมก็คิดว่าใช้ได้ครับ







นี่ก็เป็นทั้งหมดที่เขาทำครับ  กว่าจะหาทางเอามาลงได้  สุดท้ายก็ต้องทำอย่างนี้ละครับ

สำหรับเรื่องของประทานอัครทูต ความคิดนี้ ผมมีข้อสรุปในปัจจุบันแล้ว ดังนี้ครับ

อัครทูตคือผู้แทนของพระเจ้า ผู้ที่ถูกส่งไป G652 ἀπόστολος apostolos (ap-os'-tol-os) n.


1. a delegate

2. (specially) an ambassador of the Gospel

3. (officially) a commissioner of Christ, "apostle" (with miraculous powers)
 
สำหรับด้านการรับใช้  การรับใช้ด้านนี้คือการถูกส่งออกไป เราเห็นได้จาก G649 ἀποστέλλω apostello (ap-os-tel'-lo) v.


1. set apart

2. (by implication) to send out (properly, on a mission)
– การส่งออกไป ได้รับมอบหมายให้ไปทำบางสิ่งบางอย่าง เช่น กจ.8:14

ส่วนบทบาทที่ทุกคนต้องทำ ผมคิดว่าอยู่ในกิจการ 1:8 ครับ ที่พระคัมภีร์พูดว่า เราทุกคนจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช และจะเป็นพยานตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย สะมาเรีย จนสุดปลายแผ่นดินโลก   พระคัมภีร์บอกให้เราทำบทบาทนี้เช่นกันทุกคน  ถูกส่งออกไปประกาศจากใกล้ไปสู่ไกล

สรุปนะครับ ผมคิดว่ามีอยู่ 3 ระดับครับในการใช้ของประทาน 5 ด้านนี้ คือ ระดับแรก บางคนเป็น  จะมีบางคนที่พระเจ้าแต่งตั้งไว้ให้เป็นไปตามของประทานห้าอย่างนั้น   ระดับที่สอง  บางคนมี  จะมีบางคนที่พระเจ้าให้มีของประทานต่างๆเพื่อบางคนที่มีของประทานจะได้ทำหน้าที่ตามของประทานนั้นๆ ดังข้อพระคัมภีร์ที่เลขาฯผู้เขียนบทความด้านบนนั้นได้อ้างถึง  และระดับที่สาม คือ ทุกคนทำบทบาท   ผู้เชื่อทุกคนมีบทบาทที่ต้องทำ แม้ไม่ได้มีของประทานนั้นๆ เช่นทุกคนต้องประกาศเป็นพยานเรื่องพระเยซูคริสต์  แม้ไม่ได้มีของประทานประกาศ หรือไม่ได้เป็นผู้ประกาศ  อื่นๆก็เช่นกันครับ  แม้ไม่ได้เป็น ไม่ได้มี แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกให้เราทำบทบาทนี้


 ครับ เรื่องต่อๆไปที่จะแบ่งปันคือ เรื่องของประทานแต่ละอย่าง

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เล่าสู่กันฟัง - การเผยพระวจนะ

คงมีเพียงด้านนี้เท่านั้นครับที่ผมไม่มีของประทาน แต่ก็ได้รับการสำแดงเป็นครั้งเป็นคราว เช่นเรื่องที่่ผมเล่าไปแล้วว่าเห็นภาพตัวเองเป็นรถแทร็คเตอร์ตอนที่มาบุกเบิกสำโรง ภาพตอนไปประกาศกับอ.สมาน ที่อธิษฐานและเห็นคนที่ตาคลีได้รับการรักษาให้หายจากโรคต่างๆ และสิ่งที่พระเจ้ามาตรัสเป็นการส่วนตัวถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทำในอนาคต ฯลฯ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่เหมือนกับผู้ที่มีของประทานผู้เผยฯ ซึี่งจะรับการสำแดงจากพระเจ้า ล่วงรู้อนาคตที่พระเจ้าต้องการให้รู้ เพื่อประโยชน์แก่คริสตจักรของพระองค์ ฯลฯ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมมีความหิวกระหายด้วยเช่นกัน ผมปรารถนาให้พระเจ้าเจิมผมให้มีของประทานนี้ด้วย เพื่อผมจะนำทิศนำทางคริสตจักรได้ตามแผนการณ์ของพระเจ้า ผมอยากเห็นพระเจ้าใช้คริสตจักรนี้มากๆ ผมอยากเห็นคริสตจักรความหวังฯเป็นท่อพระพรนำสันติสุขของพระเจ้าไปสู่สังคมไทย และทุกสิ่งที่ทำ หรือที่ตั้งใจจะทำ ขอพระเจ้าได้รับพระเกียรติทั้งสิ้น อาเมน...

เล่าสู่กันฟัง - การแบ่งปันพระวจนะ

การศึกษาพระคัมภีร์และมาแบ่งปันให้คนทั้งหลายได้ทราบแนวคิดนั้น คงเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับผม ตั้งแต่ผมเชื่อพระเจ้ามาผมก็อยู่ในฟิลด์บู๊มาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มประกาศ ต่อมาก็ดูแลคน แล้วก็มาต่อด้วยการบุกเบิก ตลอดระยะเวลานั้นเรื่องการศึกษาพระคัมภีร์ ค้นคว้า หิวกระหาย ใคร่รู้ ไม่ได้อยู่ในชีวิตของผมเลย ความอยากรู้ อยากศึกษา อยากรับการสำแดงพระวจนะนั้น เริ่มมาเมื่อประมาณเดือนกันยายนหรือเดือนตุลาคม ปีที่แล้วมานี่เอง ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างจากภรรยาผมที่มีวิญญาณของอาจารย์อยู่ในตัวมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว สำหรับผมแล้วการได้ใคร่ครวญ ศึกษา และนำมาแบ่งปัน เป็นสิ่งใหม่ และนำมาซึ่งความสุข ความยินดี ที่ได้รับการเปิดเผย สำแดงจากพระเจ้าในเรื่องต่างๆ ดังที่่ผมได้แบ่งปันไปแล้วในบล็อกที่เกี่ยวกับพระวจนะ

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เล่าสู่กันฟัง - การบุกเบิก (จากความทรงจำ)

งานด้านที่ดูจะโดดเด่นที่สุดของผมคืองานด้านการบุกเบิกดินแดนใหม่ บุกเบิกพื้นที่ใหม่ บุกเบิกเซลใหม่ บุกเบิกจังหวัดใหม่ บุกเบิกประเทศใหม่ ฯลฯ งานด้านบุกเบิกของผมเริ่มต้นเมื่่อผมมาอยู่ในความหวังกรุงเทพฯ เช่น บุกเบิกพื้นที่ใหม่ จากเซล 1 เซลที่สำโรงกลายเป็นส่วน S1 สมัยนั้นพื้นที่ที่ผมดูแลอยู่ไกลกันมากครับ สมุทรปราการทั้งจังหวัด และยังแถมด้วยฝั่งธนฯยาวไปถึงบางบอนโน้น เซลผมมีตั้งแต่สำโรง ยาวไปถึงอ.บางบ่อ อ.บางพลี บางปู อ.พระประแดง สนุกครับ การได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบนั้นก็มีความสุขมาก ไม่ว่าจะไกลขนาดไหน ไปบุกเบิกได้ทุกที่ สมัยนั้นผมชอบสะพายย่าม ไปไหนก็มีอุปกรณ์ครบทุกชนิดอยู่ในกระเป๋าย่ามของผม การบุกเบิกเปิดสถานนมัสการหรือว่าคริสตจักรนั้น ก็ได้ทำในขณะที่ดูแลS1อยู่ คือไปเปิดที่ปากน้ำ และที่พระประแดง รวมแล้ว 2 คริสตจักร สมาชิกในเซลผมนั้นต้องเดินทางมาคริสตจักรไกลมาก คริสตจักรสมัยนั้นอยู่ที่โรงหนังออสการ์ บางคนอยู่ถึงอ.บางบ่อ ไกลออกไปสัก 60 กม. แต่ว่ามาก่อนคนอื่นๆเลย พระเจ้าให้โอกาสผมได้ทำงานที่ยากๆ ไกลๆ แต่สนุกครับ เวลาผมไปเยี่ยมคน ผมต้องไปนอนค้างกับเขาด้วย เพราะแต่ละที่ไกลมากๆ เช่น บางปูเป็นต้น อยู่เลยจังหวัดสมุทรปราการไปอีก สงสัยจริงๆว่า ถ้าเป็นผู้นำสมัยนี้เขาจะทำกันยังไง เขาจะสู้เหมือนแบบผมไหม อีกฝากหนึ่ง เซลผม บางบอนก็มี สมุทรเจดีย์ก็มี คนละฝากกันเลย สมัยนั้นผมก็ใช้วีธีเขียนจดหมายฝาก คือไปหาเขาแล้วก็ทิ้งจดหมายฝากไว้ให้เขาอ่าน ก็ใช้ได้ผลดี ในความจำกัดของผม ผมจะหาวิธีการต่างๆในการดูแลสมาชิกของผมให้ดี

งานบุกเบิกถัดมาที่ได้ทำคืองานต่างประเทศ ทั้งจีน พม่า อัฟริกา อยู่ในความรับผิดชอบของผมใต้ส่วนE1 พม่านี้ผมใช้อ.อลงณ์ สมัยนั้นอายุแค่ 18 ปีเองครับ แต่ 18 ปีนี่แหละทำให้เกิดคจ.พม่าขึ้นมาได้ การทำงานของผมนั้น แม้ว่าผมจะพูดภาษาต่างๆไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมทำคือผมต้องหาหัวหน้าสายให้เจอ เมื่อมีหัวหน้าสายแล้ว งานนั้นก็จะเคลื่อนที่ไปได้ งานอัฟริกานี่เป็นอีกงานที่ผมมีความประทับใจมาก จำได้ว่าครั้งแรกที่คนอัฟริกาเข้าในคจ. ผมดีใจมาก ต้อนรับขับสู้ ดูแลอย่างดี ในที่สุดก็เปิดบ้านเขาทำเซลอัฟริกันได้เป็นเซลแรกในคริสตจักรของเรา ผมจำวันแรกที่ไปเยี่ยมจัดเซลกับพวกเขา ผมแทบเป็นลมสลบไปตรงนั้น เพราะว่า... กลิ่นตัวเขาแรงมากจริงๆครับ ทำงานกับคนอัฟริกันนี้ ต้องปรับตัวให้ได้กับกลิ่นตัวของเขา ดังนั้นคริสตจักรอัฟริกันก็เกิดขึ้นมาในคริสตจักรความหวังจากตรงนี้ ทำงานกับคนอัฟริกันนี่สนุกมากครับ เพราะวัฒนธรรมของพวกเขาชอบการนมัสการ เมื่อผมเข้าไปในบ้านเขา เต้นโลดสรรเสริญพระเจ้ากันสุดฤทธิ์เลยครับ

งานบุกเบิกอีกอันคืองานพันธกิจ ผมรับผิดชอบสมัยแรกคือการเปิดคริตจักร ผมจะต้องเดินทางไปก่อนเพื่อไปเตรียมงานการเปิดคริสตจักร สมัยแรก เราจะเปิดคริสตจักรที่ใด เราจะจัดงานประกาศกลางแจ้งก่อนเสมอ ผมจะทำหน้าที่เดินทางไปเตรียมงานในภาคเหนือของไทยครับ นอกจากนั้น ภาคเหนือคือภาคที่ผมรับผิดชอบ ผมบุกเบิก แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ประสบการณ์การบุกเบิกนี่เล่ากันไม่หมดครับ มีเรื่องให้เล่าเยอะมาก โดยสรุปว่าต้องอาศัยความทุ่มเทจริงๆ เราถึงจะบุกเบิกงานในจังหวัดนั้นๆได้ ต้องมีความเชื่อ ต้องลุย จะมาทำหงิมๆเหนียมๆ ทำงานบุกเบิกไม่ได้หรอกครับ อีกภาคหนึ่งที่ผมบุกเบิกคือภาคตะวันออก อยู่ในความรับผิดชอบของผมเช่นกัน

ถัดมาก็งานบุกเบิกต่างประเทศ เราก็ใช้ยุทธวิธี สร้างคนในกรุงเทพฯแล้วส่งเขากลับไปบุกเบิกในประเทศของเขา เช่นพม่าเป็นต้น สมัยแรกๆ ผมก็เอาผู้นำพม่าที่คิดว่าจะมาร่วมนิมิต มานอนที่บ้านของเรา เพื่อสร้างเขา แต่ไม่เคยสำเร็จ จะได้แต่คนประเภทที่หิวเงิน ต้องการความช่วยเหลือ ไม่เคยเจอผู้นำแท้สักที จนเราต้องสร้างเอง และส่งออกไปจากคริสตจักรเราเอง กัมพูชาก็เช่นกัน สร้างคน ส่งคนออกไปจากประเทศไทย และที่อยู่ในปัจจุบันก็ได้แก่ประเทศในอัฟริกา ที่ผมออกไปสร้างเขาเอง สอนวิธีการทำคจ. ฯลฯ นั่นก็เป็นประสบการณ์การใช้ภาษาอังกฤษครั้งแรกในต่างประเทศครับ เมื่อเดินทางไป มีรอบสุดท้ายที่ผมเดินทางโดยตัวคนเดียวเองด้วย ได้ประสบการณ์ดีมากๆครับ

งานด้านการบุกเบิกอันสุดท้ายก็คือการบุกเบิกงานชนเผ่า สมัยนั้นมีเพียงเผ่าม้งอยู่ในคริสตจักร แล้วผมก็เริ่มบุกเบิกเผ่าละว้า เผ่าต่อมาคือเผ่าอิวเมี่ยน แล้วหลังจากนั้นก็มีเผ่านานาเผ่าเต็มไปหมด เรื่องงานชนเผ่านี้ ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ผู้นำคนเก่าแล้ว ให้มีใจรักพวกเขาเหล่านั้น และต้องบุกเบิกดูแลพวกเขาเหล่านั้น

สรุปความว่าผมชอบการบุกเบิก อนาคตผมก็ยังจะบุกเบิกต่อไป ถ้าพระเจ้าพอพระทัย ผมจะบุกเบิกงานพันธกิจชาติพันธุ์ครับ

เล่าสู่กันฟัง - การอภิบาล (จากความทรงจำ)

สำหรับงานด้านการดูแลคน พระเจ้าได้วางผมไว้โดยให้รู้ตัวว่าจะทำงานด้านนี้ สมัยเมื่อผมยังอยู่ที่เชียงใหม่ ขณะเรียนพระคัมภีร์อยู่ ศจ.สมเกียรติ (เพื่อนผมรุ่นน้อง) ได้เห็นนิมิตว่าผมก้มลงต้อนเด็กเล็กๆที่คลานอยู่บนพื้นไว้ด้วยกัน แล้วก็มาบอกผม ในสมัยนั้นผมก็เข้าใจว่าพระเจ้าจะให้ผมดูแลเด็กหรือเปิดเนอสเซอรี่ ต่อมาผมจึงกระจ่างแจ้งว่าหมายความถึงการดูแลคนนั่นเอง

งานด้านการดูแลคนของผม สมัยอยู่เชียงใหม่ผมก็เริ่มทำแล้ว ส่วนมากที่ดูแลคือน้องๆนักศึกษาที่มาเชื่อในม.เชียงใหม่ อ.เจริญนี่ก็เช่นกัน อาจารย์บอกผมว่า ผมเป็นคนไปติดตามอ.เจริญกลับมา สมัยนั้นผมเป็นพี่เลี้ยงอ.เจริญ (จำไม่ได้จริงๆครับ นานมากแล้ว) พอมาอยู่ที่คริสตจักรความหวัง ก็เริ่มต้นด้วยการบุกเบิกพื้นที่ที่ไม่มีใครเลย คือมีนบุรี ลงทุนลงแรงไปเยี่ยมไปประกาศ แต่ก็ยังไม่มีคนเชื่อ ไม่มีกลุ่ม จนผมย้ายไปดูแลเซลที่สำโรง ซึ่งมีอยู่เซลเดียว และกำลังจะแตก เพราะสมาชิกไม่ถูกกันจะย้ายไปอยู่โบสถ์อื่นกันหมด ผมเข้ามาดูแล และพระเจ้าให้ภาพผมเป็นเหมือนรถแทรกเตอร์ ที่ไถ่เนินหลุม เกลี่ยให้เรียบไปหมด เมื่อพระเจ้าให้ความเชื่ออย่างนี้ ผมจึงเข้าไปดูแลที่สำโรงด้วยความเชื่อ พึ่งพระคุณพระเจ้า จากเซลที่คนกำลังแตกแยกย้ายกัน ก็กลับมารวมตัวกันได้ จาก 1 เซล ก็ขยายมาเรื่อยๆ เป็นหน่วยที่โตเร็วที่สุดในคริสตจักร แล้วขยายกลายเป็นเขต และกลายเป็นส่วน S1ในที่สุด ประสบการณ์ด้านการดูแลคนก็คงอยู่ในช่วงนี้ สมัยที่อยู่ในคริสตจักรความหวังสมัยแรกๆ จากส่วนS1 ก็ย้ายมาดูแลส่วนE1 จากส่วนE1 ก็ย้ายไปเป็นผู้นำครน.ชลบุรีอยู่ 1 ปี แล้วต้องย้ายกลับมากรุงเทพฯด้วยโรคหัวใจ และมาเริ่มดูแลงานส่วนชนเผ่ามาตั้งแต่บัดนั้น

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

เล่าสู่กันฟัง - การประกาศ (จากความทรงจำ)

จะขอเล่าชีวิตในหนหลังเพื่อท่่านทั้งหลายจะได้รู้จักผม ด้านการประกาศสมัยเมื่อเชื่อแรกๆในโบสถ์เดิม ด้านการอภิบาลดูแลคนเมื่อเข้ามาอยู่ในคจ.ความหวังยุคแรกๆ ด้านการบุกเบิกก่อตั้งเมื่ออยู่ในคจ.ในยุคต่อมา ด้านพระวจนะในยุคถัดมาตอนท้าย ซึีงมีเพียงการเผยพระวจนะที่เป็นแบบผู้เผยฯที่ผมไม่มี แต่ไม่แน่พระเจ้าอาจก่อร่างสร้างขึ้นในผมก็เป็นได้ในอนาคต

แรกเริ่มเดิมทีเลยเมื่อมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าใช้บางคนมาสื่อสารพยากรณ์ว่าให้ออกไปประกาศกับคนไทย ดังนั้นในงานรับใช้แรกๆคือการออกไปเป็นผู้ประกาศตามจังหวัดต่างๆในไทย ในขณะนั้นข้าพเจ้าอยู่ในคณะพสท.(คณะพระกิตติคุณสมบูรณ์สัมพันธ์แห่งประเทศไทย) และคณะนี้ได้ก่อตั้งทีมประกาศขึ้นมาทีมหนึ่ง โดยมีพาหนะเป็นรถตู้เคลื่อนไปตามสถานที่ต่างๆในประเทศไทย มี 4 ชีวิตเป็นผู้ร่วมขบวนในรถคันนี้ สองท่านเป็นอาจารย์ในคณะพสท. ซึ่งหนึ่งในสองท่านนี้นั้นได้แก่ อ.สมาน วรรณเกียรติ ผู้รับใช้พระเจ้าที่พระเจ้าใช้อย่างมากในการประกาศในประเทศไทย ตัวผมทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถ และจัดเตรียมงานประกาศ ร่วมทั้งได้มีส่วนร่วมเทศนาประกาศด้วยในบางสถานที่ ชีวิตทางด้านการประกาศ ก็ได้เรียนรู้มาจากอ.สมานนี่แหละครับ เรียนรู้ด้านความเชื่อ เรียนรู้ด้านการวางมือรักษาคนเจ็บป่วย เรียนรู้ด้านความห่วงใยคนไทยที่ยังไม่ได้รับความรอด ไม่เพียงแต่ได้เรียนรู้แต่ได้ซึมซับเข้ามาในชีวิตผมด้วย ดังนั้นชีวิตด้านการประกาศจึงอยู่ในช่วงแรกของชีวิตคริสเตียนในโบสถ์เดิมของผม

อ.สมานได้เล่าให้ผมฟังเรื่องการประกาศในประเทศไทยว่า พระเจ้าใช้ท่านสำหรับการประกาศรักษาโรค ใช้อีกท่านหนึ่งสำหรับการพยากรณ์ และท่านก็ไปตามที่ต่างๆตามที่พระเจ้าบอกให้ไป ครั้งหนึ่งพระเจ้าให้ผู้พยากรณ์(ผู้เผยฯ)บอกว่าให้ไปประกาศทางภาคเหนือที่เชียงใหม่ แต่การเดินทางในสมัยนั้นไม่ชำนาญ ทำให้หลงทางไปประกาศที่เชียงรายแทน นี่เองจึงเป็นเหตุให้มีคริสตจักรมากมายอยู่ที่จังหวัดเชียงราย

การประกาศในสมัยนั้นยากลำบาก แต่ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ไปประกาศที่หมู่บ้านหนึ่ง มีคนง่อยเดินไม่ได้มารออยู่ที่ข้างทาง และท่านก็เขม้นสังเกตุดูคนที่มีความเชื่อ และวางมือรักษาเขา เขาก็ลุกขึ้นมาเดินได้ พอคนหนึ่งเดินได้ ท่านก็บอกคนอื่นๆว่า อยากเดินได้แบบเขาบ้างไหม จงมีความเชื่อ ท่านบอกว่า วันนั้นคนง่อยที่เดี๋ยวนี้พระเจ้ารักษาพวกเขาแล้ว ได้วิ่งแข่งกันใหญ่

อีกครั้งหนึ่ง มีคนมาหาท่านและบอกให้ท่านช่วยไปวางมือบนคนป่วยหน่อย แต่เมื่อท่านไปถึง คนนั้นตายไปแล้ว ท่านบอกว่า ท่านวางมือบนคนตายนั้นด้วยความเชื่อ และเรียกเขาให้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย อธิษฐานพร้อมกระทืบเท้าบนพื้นดังปัง เท่านั้นแหละคนตายแล้วฟื้นขึ้นมา

นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและท่านเล่าให้ผมฟัง แต่มีสิ่งที่เกิดขึ้้นในปัจจุบัน ที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ คือว่ามีคนหนึ่งเชื่ออยู่ที่ตาคลีและได้มาปรึกษาอ.สมานว่าอยากนำสามีให้มาเชื่อพระเจ้า อ.สมานก็บอกว่า เอาอย่างนี้ ไปเชิญคนเจ็บคนป่วยมาที่บ้าน แล้วท่านจะไปเทศน์เพื่อสามีจะได้เห็นและจะได้เชื่อ สำหรับผมเมื่อรู้ว่าจะมีการประกาศที่นั่น ก็เริ่มต้นอธิษฐานเผื่อการประกาศนี้ทุกวันจนกระทั่งมีวันหนึ่งมีสันติสุขเกิดขึ้นในใจ ก็รู้แน่ว่าพระเจ้าตอบแล้ว คือว่าได้อธิษฐานเผื่อการประกาศด้วยหมายสำคัญการอัศจรรย์ที่นั่น อธิษฐานจนเห็นภาพคนต่างๆหายโรค

แล้วพวกเราจากเชียงใหม่ก็ลงไปกันที่ตาคลี ในวันแรกที่พวกเราไปถึง เขาก็พาเราไปเยี่ยมคนง่อยนอนบนเตียงมาได้หลายปีแล้ว สำหรับผมรู้สึกเหนื่อยอยากพักผ่อน แต่เมื่อเขามาเชิญให้ไป ก็ไปกัน เมื่อไปถึงก็เห็นคนป่วยเป็นคนจีนสูงอายุนอนอยู่ที่เตียง อ.สมานก็ชวนคุยและหนุนใจเขาให้มีความเชื่อ สักพักอ.สมานก็หันมาบอกผมว่าพระเจ้ารักษาอาแปะคนนี้แล้ว แต่เขาไม่รู้ อ.สมานบอกให้อาแปะลุกขึ้น แกบอกว่าลุกไม่ได้นอนมาหลายปีแล้ว อ.สมานบอกว่าพระเจ้าบอกอ.สมานว่าพระเจ้ารักษาอาแปะแล้ว และบอกให้ลุกขึ้นนั่ง เท่านั้นแหละครับ อาแปะลุกขึ้นมานั่ง คนที่ยืนอยู่ที่ประตูซึ่งเป็นคนแถวนั้นพอเห็นก็ตาโต บอกว่าพระเจ้าอาแปะอัศจรรย์ ทำไมไม่ขอพระเจ้าให้อาแปะลุกขึ้นได้ล่ะ เท่านั้นครับอาแปะก็ลุกขึ้นมายืน คนที่ประตูก็บอกอีกว่าพระเจ้าอาแปะอัศจรรย์จริงๆ ทำไมไม่ขอพระเจ้าให้เดินได้ล่ะ ว่าแล้วอาแปะก็เดินไปเดินมา เท่านั้นแหละครับ ผมหายเหนื่อยเลยที่เห็นการอัศจรรย์เช่นนี้ ยังไม่ได้อธิษฐานเผื่อเลย พระเจ้ารักษาอาแปะให้เดินไปเดินมาได้ คืนนั้นในงานประกาศที่บ้านคน อาแปะก็นั่งรถสามล้อมางานประกาศด้วย คนที่ตาคลีก็งงกันใหญ่ ทำไมอาแปะถึงนั่งรถได้

คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ประกาศมีคนใบ้พระเจ้ารักษาให้พูดได้ 3 คน และก็มีคนหายโรคมากมาย ผมทำหน้าที่นำเพลงก่อนการเทศนา ผมนำเพลงง่ายๆวันนี้เป็นวัน วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าตั้งไว้ และก็เพลงเพื่อการประกาศอื่นๆ เมื่อนำเพลงจบก็มีคนออกมาด้านหน้าบอกว่าโรคที่คอหายแล้ว ผมนี้ตะลึงเลย เพียงแค่นำร้องเพลงสั้น หายโรคกันแล้วหรือนี่ คืนประกาศคืนแรกก็จบลงด้วยดี กำลังปิดการประชุม ก็มีคนวิ่งมาจากข้างนอกจับมือพวกเรากระโดดขึ้นกระโดดลงใหญ่บอกว่า หายแล้ว หายแล้ว เราก็ถามว่าอะไรหาย แล้วเขาก็พาเราไปที่บ้านถัดไปสัก 2 ห้อง เป็นตึกแถวติดกัน ที่นั่นมีคนป่วยนอนอยู่ในห้องกระจก มีสายอากาศช่วยการหายใจ และเห็นคนที่นอนบนเตียงน้ำตากำลังไหล สอบถามได้ความว่า เขานอนฟังอาจารย์เทศน์ผ่านไมค์ลอย เขาเลยรับคลื่นฟังเทศน์ได้ เมื่อเขาฟังเทศน์ ก็เกิดการผ่อนคลาย สัมผัสพระเจ้า น้ำตาไหล อย่างที่เห็น

คืนที่สอง คราวนี้อาแปะไม่นั่งรถสองแถวมาล่ะครับ เดินมาเองเลย คนในตาคลีก็ยิ่งตะลึงกันใหญ่ ก็พวกเขารู้ว่าอาแปะคนนี้เป็นอัมพาตนอนป่วยอยู่ที่บ้าน แล้วทำไมมาเดินอยู่ที่ถนน อาแปะบอกว่าพระเยซูรักษาโรคอยู่ที่บ้านหลังโน้น คืนนี้คนมากันจนล้นออกไปนอกถนน ผมเห็นภาพเหมือนเรื่องคนง่อยถูกหามสี่คนเลย แน่นจนไม่สามารถจะเข้าไปได้ เช่นเคยครับคืนนี้พระเยซูทำการอัศจรรย์มากมาย

คืนที่สามคืนสุดท้าย คืนนี้ผมไม่ได้อยู่กลับไปก่อน แต่ได้ยินว่า คนปากเบี้ยว นั่งคุยกัน พระเจ้ารักษาเขาให้หน้าคืนรูปหายเบี้ยว หายโรคโดยยังไม่ได้อธิษฐานเผื่อเลย แค่ฟังเท่านั้น สรุปว่ามีการอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมายที่ตาคลีเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว คนสมัยนั้นจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นที่อำเภอของเขาได้ นี่คือเรื่องของของประทานที่เป็นผู้ประกาศที่ได้มาเล่าสู่กันฟังครับ ยังมีเรื่องอีกมากมายครับ ที่ไม่สามารถเล่าได้หมด

เมื่อผมคลุกคลีอยู่กับอ.สมานซึ่งเป็นผู้ประกาศ วิญญาณผู้ประกาศก็ถ่ายทอดเข้ามาในชีวิตผม ผมได้สร้างคนให้มีวิญญาณเป็นผู้ประกาศ ผมได้ไปประกาศตามที่ต่างๆทั้งไปเอง และไปกับทีมประกาศนี้ ได้ขับผี ได้ใช้หมายสำคัญการอัศจรรย์ ได้วางมือคนเจ็บป่วยในพระนามพระเยซูคริสต์เพื่อเขาจะหายโรคได้ ได้ประกาศนำคนรับเชื่อเป็นประกาศกลางแจ้ง ฯลฯ อีกมากมาย นั้นก็เป็นสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่ใช่เพราะเราดี เราเก่ง แต่เป็นเพราะพระเยซูที่ดีเลิศ พระเยซูที่ทรงรักคนไทย พระเยซูที่มาตายเพื่อคนไทยทั้งหลายจะได้รับชีวิตนิรันดร์ นั้นจึงเป็นเหตุที่ทำไมผมถึงปรารถนาจะประกาศให้คนเป็นแสนๆคนได้ฟังข่าวประเสริฐของพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงพระกรุณา

ครั้งต่อไปจะแบ่งปันเรื่องศิษยาภิบาลบ้าง ขอพระเจ้าได้รับพระเกียรติทั้งสิ้นครับ