วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

ผู้ประกาศ


คำนี้มีเพียงแค่สามครั้งเองในพระคัมภีร์ ในกิจการ ในเอเฟซัส และ 2ทิโมธี
G2099 εὐαγγελιστής euaggelistes (yoo-ang-ghel-is-tace') n.
1. a proclaimer of the good news of redemption through Jesus (i.e. proclaimer of the gospel of Jesus)
[from G2097]
KJV: evangelist

ผู้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งการไถ่ของพระเยซูคริสต์

เมื่อดูจาก G2097 มีการกล่าวถึงคำนี้ในหลายที่ เช่น การที่พระกิตติคุณถูกเทศนาออกไป และหลายๆข้อก็บอกถึงการเทศนา เช่นการเทศนาถึงแผ่นดินของพระเจ้า  เป็นการเทศนาข่าวประเสริฐ
G2097 εὐαγγελίζω euaggelizo (yoo-ang-ghel-id'-zo) v.
1. to bring good news
2. "evangelize"
3. (especially) to proclaim the good news of redemption through Jesus (i.e. the gospel)

คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศ จะมีความกล้าหาญในการประกาศพระนามพระเจ้า ไม่อาย ไม่กลัว และมีใจหิวกระหายที่จะให้พระวจนะของพระเจ้า ข่าวประเสริฐได้ลงไปในใจคน  เขามีความสามารถในการคุยกับคน ให้พระเจ้าเปิดใจคนมาถึงพระกิตติคุณของพระเจ้า  ของประทานผู้ประกาศนี้มาควบคู่กับหมายสำคัญการอัศจรรย์เพื่อรับรองสิ่งที่เขาประกาศ

ขอยกข้อพระคัมภีร์ที่ผมชอบมากสำหรับเรื่องการประกาศ ได้แก่ มาระโก 16:15-20
15   ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า  "เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก  ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน
16   ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด  แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ
17   มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น  คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา  เขาจะพูดภาษาแปลกๆ
18   เขาจะจับงูได้  ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด  จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา  และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย  แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค"
19   ครั้นพระเยซูเจ้าตรัสสั่งเขาแล้ว  พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ให้ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์  ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
20   พวกสาวกเหล่านั้นจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งทุกตำบล  และพระเป็นเจ้าทรงร่วมงานกับเขาและทรงสนับสนุนคำสอนของเขา  โดยหมายสำคัญที่ประกอบนั้น

ทุกคนทำนะครับ ไม่มีข้อยกเว้นว่าจะมีของประทานผู้ประกาศหรือไม่มี  เป็นคำสั่งที่พระเยซูให้ไว้กับสาวกของพระองค์ทุกคน  สิ่งที่มาควบคู่กันกับการออกไปประกาศของพวกเขาคือหมายสำคัญ  เราต้องขอพระเจ้าช่วยให้คนทั้งหลายมีใจเชื่อ เพราะนั่นเป็นกุญแจสำคัญไปสู่หมายสำคัญการอัศจรรย์  เขาจะเชื่อได้ เขาต้องได้ยินพระกิตติคุณที่เสริมสร้างความเชื่อเขา  หรือได้ยินคำพยาน ซึ่งบางคำพยานจะไปตรงกับประสพการณ์ที่เขาคนนั้นเผชิญอยู่  เขาจะเปิดใจออก ต้อนรับพระเยซู และมีใจเชื่อพร้อมจะเห็นหมายสำคัญเกิดขึ้นกับคนนั้น

ผมจำได้สำหรับครั้งแรกในชีวิตของผมที่อธิษฐานเผื่อขอพระเจ้าช่วยให้คนหายโรค นั่นคือลูกตัวเล็กๆของคนทำความสะอาดในคริสตจักรที่ผมเป็นสมาชิกสมัยก่อน  เด็กหกล้มปากกระแทกพื้นเลือดกลบปาก ฟันหัก ร้องไห้ใหญ่เลย ตอนผมเข้าไปในคริสตจักร  ผมรับฟังสิ่งที่แม่เขาบอกเกี่ยวกับลูก แล้วผมก็เดินกำลังออกไปจากโบสถ์  มีเสียงเข้ามาในใจให้กลับไปอธิษฐานเผื่อเด็กคนนั้น  ผมก็กลับไปและอธิษฐานเผื่อ  เมื่ออธิษฐานเสร็จผมก็เข้าไปในห้องคุกเข่าอธิษฐานซ้ำไปซ้ำมาว่าขอพระเจ้าช่วยรักษาเด็กคนนี้ด้วย  เนื่องด้วยผมไม่มีความเชื่อ จึงอธิษฐานซ้ำซากเหมือนคนต่างชาติในพระคัมภีร์ อธิษฐานอยู่ยาวนาน จนกระทั่งพอสบายใจบ้างแล้วว่าพระเจ้าจะฟัง จึงได้กลับ   วันรุ่งขึ้นผมมาที่นั่นอีก  พบแม่ของเด็กบอกว่าขอบคุณพระเจ้าที่เมื่อคืนเด็กหลับสบายได้ ไม่กวนเลย  ผมมีความเชื่อขึ้นมาทันที ขอบคุณพระเจ้า  หลังจากวันนั้น เมื่อเป็นพยานกับใคร ก็จะท้าชวนให้เชื่อพระเจ้าและอธิษฐานเพื่อจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์

หลังจากวันนั้น ไปพบนักเรียนคนหนึ่งที่เชียงใหม่ มีพ่อป่วยอยู่ต่างอำเภอ ผมก็ท้าทายเขาว่า เชื่อไหมว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่  พระเจ้าสามารถรักษาพ่อของน้องได้  วันนั้นอธิษฐานด้วยกันขอพระเจ้าไปทำการรักษาพ่อของเขาที่ต่างอำเภอ   หลังจากนั้นได้พบน้องคนนี้อีก และทราบว่าพ่อเขาหายโรคจริงๆ  ยิ่งมีความเชื่อเข้าไปใหญ่

อีกครั้งหนึ่ง ไปประกาศกับพี่น้องชนเผ่าที่อยู่บนดอยที่อำเภออมก๋อย  ไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่นั่น  กำลังนั่งดีดกีต้าร์อยู่ ก็มีคนเอาลูกที่หูหนวกมาให้วางมือ  ผมก็หันไปคุยกับลูกเขา  คุยกันไม่ได้  ไม่ได้ยิน  ทราบจากแม่เขาว่าเพิ่งมาหูหนวกเอาภายหลัง ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด  ผมก็บอกแม่เขาว่า แม่ต้องเชื่อแทนลูกนะ เพราะลูกเขาไม่ได้ยินอะไร พระคัมภีร์บอกว่าเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง  เชื่อไหมว่าพระเจ้าสามารถรักษาเด็กคนนี้ได้  เชื่อไหมว่าพระเจ้าสามารถรักษาให้หายได้เดี๋ยวนี้  แล้วผมก็หันไปทำท่าทางภาษาใบ้บอกเด็กว่าพระเยซูรักหนู  พระเยซูต้องการช่วยหนู นึกถึงพระเยซูที่ตายบนไม้กางเขนเอาไว้  แล้วผมก็บอกให้แม่เขาเอานิ้วแยงเข้าไปที่หูข้างหนึ่ง  ส่วนผมแยงเข้าไปที่หูอีกข้างหนึ่ง แล้วก็เริ่มต้นอธิษฐาน  พออธิษฐานเสร็จ ก็ดีดนิ้วที่ข้างหูเด็ก  เด็กก็พนักหน้าว่าได้ยิน  ผมก็เดินห่างออกไป  แล้วดีดนิ้วอีก  เด็กก็พยักหน้าบอกว่าได้ยิน  ผมก็เดินออกไปห่างไกลออกไปอีกแล้วตบมือ  เด็กก็พยักหน้า  ขอบคุณพระเจ้า  พระเยซูรักษาเด็กคนนั้น  สิ่งนี้ก็นำความยินดีมาสู่หมู่บ้านนั้นครับ  วันรุ่งขึ้นมีคนมากันอีกเต็มไปหมดขอให้อธิษฐานเผื่อโรคภัยไข้เจ็บของเขา
ในอำเภอนี้ผมได้เดินทางไปอีกหมู่บ้านหนึ่งด้วยได้ยินว่ามีคนเจ็บป่วยอยู่ จึงไปหาเขา  พบว่าคนนี้ถูกผีเข้า อธิษฐานวางมือเท่าไร ผีก็ไม่ออก  อธิษฐานอยู่เป็นนาน  ทำอย่างไรดี  แล้วก็เกิดความคิดว่า จะอ่านพระคัมภีร์ให้เขาฟัง  ก็เลยบอกให้คนอ่านพระคัมภีร์ภาษาของพวกเขา ให้คนๆนี้ฟัง  อ่านตอนไหนก็ได้ อ่านไปเรื่อยๆ  เพราะผมเชื่อว่าพระคัมภีร์มีฤทธิ์เดช  เมื่อเขาอ่าน คนที่ถูกผีสิงนั้นก็ได้ฟังพระวจนะไปเรื่อยๆ ทีละบท ๆ   ได้ผลแฮะ ผมคิด เขาค่อยๆผ่อนคลายลงเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกตัวดี แล้วจึงได้อธิษฐานเผื่อเขาอีกครั้งหนึ่ง

นี่ก็เป็นเรื่องการประกาศส่วนตัว สำหรับการประกาศกลางแจ้ง ได้เริ่มต้นเทศนาครั้งแรก ไม่มีคนเชื่อเลย  อาจารย์ที่ดูแลผมสมัยนั้นได้หนุนใจให้ทำต่อไป  ครั้งต่อมาได้ประกาศอีก ผมประหลาดใจมาก เทศนายังไม่ทันจบเลย  คนยกมือกันขอเชื่อเต็มไปหมดเลย  นี่ก็เป็นสิ่งที่หนุนใจว่า อย่าท้อถอย แม้ครั้งแรกทำสิ่งใดไม่สำเร็จ ทำต่อไป

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

ศิษยาภิบาล

ศิษยาภิบาล pastors

          ต่อไปนี้ เราก็เริ่มต้นมาศึกษาจากของประทานแต่ละด้าน คำว่า ศิษยาภิบาล = ผู้เลี้ยง เห็นท่านต่างๆที่เคยมาสอนหรือแบ่งปันบอกว่ามีครั้งเดียวคำว่าศิษยาภิบาล ในภาษาอังกฤษ ซึ่งนั่นก็จริง แต่ลองจินตนาการดูนะครับ เวลาผู้เขียนพระคัมภีร์เขียนถึงใคร เขาเขียนเป็นภาษากรีก และคนอ่านก็อ่านจากภาษากรีกนั้น  ดังนั้นแล้วเขาจะเข้าใจไหมว่า poimenคำนี้เป็นpastors poimenคำนี้เป็นshepherd   ผมคิดว่าไม่ใช่ครับ ในภาษากรีกคือคำเดียวกัน มีปรากฏในหลายที่ซึ่งนั่นก็คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ ผู้เลี้ยงทำอะไร มีลักษณะอย่างไร เราสังเกตุได้จากพระคัมภีร์

         โดยสรุป poimen คือผู้เลี้ยง เหมือนผู้เลี้ยงที่ดูแลฝูงแกะ คอยปกป้องฝูงแกะจากสุนัขป่า  คอยประคบประหงมเยียวยาบาดแผลให้  คอยนำฝูงแกะไปที่ทุ่งหญ้าเขียวสด  คอยพาฝูงแกะกลับไปเข้าคอกแกะ คอยเฝ้าดูแลแกะอยู่ในตอนกลางคืน  คอยส่งเสียงเรียกฝูงแกะ คอยนำไม่ให้แกะหลงทาง   ดูแลอย่างดีจนแกะฝูงนั้นอ้วนพีอุดมสมบูรณ์
G4166 ποιμήν poimen (poy-mayn') n.

1. a shepherd

เราเห็นคำนี้ poimen ในพระคัมภีร์ตอนต่างๆ เช่น
ศิษยาภิบาลมีของประทาน แยกแยะ สังเกตุวิญญาณ เพื่อแยกแพะออกจากแกะ มธ.25:32
32 บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ


ศิษยาภิบาลมีความเมตตาสงสาร มธ.9:36
36 และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง

ศิษยาภิบาลมีความปรารถนาเลี้ยงดูสั่งสอนฝูงแกะ มก.6:34
34 ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ และพระองค์ทรงสงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ

ศิษยาภิบาลเป็นผู้เลี้ยง ย่อมเข้าทางประตู ไม่ใช่ปีนรั้วเข้าไป เป็นผู้เลี้ยงไม่ใช่สุนัขป่า ยน.10:2
2 แต่ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ

ผู้เลี้ยงที่ดีให้ชีวิตของตนเองเพื่อฝูงแกะ ยน.10:11
11 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ

ผู้เลี้ยงรู้จักแกะของตน ยน.10:14
14 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา

ผู้ดูแลจิตวิญญาณของเรา 1ปต.2:25
25 เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นเหมือนแกะที่พลัดฝูงไป แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยงและผู้พิทักษ์วิญญาณจิตของท่านทั้งหลายแล้ว


          ก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไปเก็บมาได้จากที่ต่างๆมาเล่าให้พวกเราฟัง เขาบอกว่าโดยปกติแกะฝูงหนึ่ง จะมีแกะที่เป็นตัวนำฝูงอยู่สองสามตัว มันก็จะออกพาเดินไปตามที่ต่างๆ และแกะก็ชอบเปลี่ยนที่กินอาหารเสียด้วยตามพฤติกรรมธรรมชาติของมัน  เหนื่อยสำหรับผู้ดูแลแกะที่ต้องวิ่งตามแกะให้ทัน  เมื่อหัวขบวนไปทางไหน แกะทั้งฝูงก็จะวิ่งออกไปตามๆกัน  เขาบอกว่าในการดูแลฝูงแกะนั้น จะมีบางตัวชอบแตกแถว  บางตัวก็ไม่ชอบรวมกลุ่ม  และสำหรับแกะที่เพิ่งเกิดใหม่ยังไม่แข็งแรง เมื่อไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ก็อาจถูกสุนัขแถวนั้นกัดตายได้ (ข้อมูลจากบ้านแกะ อ.สูงเนิน โคราช)

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประสบการณ์ต่างประเทศครั้งแรกสำหรับปี 2010

ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในแต่ละวันและว่าจะส่งลงblogเพราะเห็นที่โรงแรมมีเน็ต แต่ว่าเมื่อเข้าไปพบว่าอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะด้านการสื่อสารเช่น การเขียนอีเมล์ , การเขียนblog ฯลฯ ถูกบล็อคเอาไว้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องบันทึกเก็บไว้ และมาส่ง เมื่อกลับมาเมืองไทยดังข้างล่าง

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันนี้ได้มาทำพันธกิจที่MM ที่นี่คงเป็นที่แรก และคงเป็นที่เดียวสำหรับปีนี้ เนื่องจากเรายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำที่กทม. ดังนั้นการเดินทางไปทำอะไรที่ต่างประเทศคงเป็นเรื่องที่จะทำในปีหน้าเป็นต้นไป วันนี้ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็ได้บันทึกความคิดเรื่องต่างๆเอาไว้ ว่ายังมีคนอีกมากมายเหลือเกินที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ เห็นคนเดินไปเดินมาชาติต่างๆที่สนามบิน ก็ไม่ทราบว่ามีกี่มากน้อยที่จะแสวงหาพระเจ้า ไม่เห็นห้องอธิษฐานเหมือนในบางศาสนา เมื่อมาดูประเทศไทยก็มีคนไทยมากมายเหลือเกิน รอให้เราไปทำการประกาศข่าวประเสริฐ 60 กว่าล้านคน ข้าพเจ้าคงอธิษฐานและอธิษฐานที่จะเห็นคนไทยมากมายมาหาพระเจ้าเหมือนในวันนี้ที่เราได้ชมHope TVไป

เมื่อมาถึงสนามบินMM เห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนามากขึ้น คงเพื่อต้อนรับชาวต่างประเทศที่มาเยือนประเทศ เมื่อก่อนสนามบินโทรม ไฟดับเป็นระยะ จะเข้าประเทศก็ต้องแลกเงินกำหนดจำนวนไม่ต่ำกว่าเท่าที่กำหนด จะเข้าห้องน้ำทีก็มีคนตามมาคอยเก็บเงิน ฯลฯ เดี๋ยวนี้อาคารสนามบินใหม่ ทันสมัย มีท่าเทียบเครื่องบิน ไม่บังคับแลกเงินของเขาแล้ว ฯลฯ อะไรอะไรก็เปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้แข่งขันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันนี้มาเช็คเน็ตเพราะเห็นที่โรงแรมมีไวร์เลส แต่พบว่าไม่สามารถเช็คอีเมล์ใดได้ จะส่งบทความในblog ก็ไม่สามารถส่งได้ อะไรที่เป็นด้านการสื่อสารดูจะถูกกันไว้หมด เมื่อผมเดินทางไปค่าย อ.ราชกิจก็ชี้ให้ผมดู เดี๋ยวนี้คนในประเทศนี้ใส่กางเกงกันมากขึ้น โลกเปลี่ยนไป สิ่งที่อยู่ในโลกก็ค่อยๆซึมเข้ามาในประเทศนี้ ไม่สามารถป้องกันได้หมด นี่ผมคิดอย่างนี้ เหมือนกัน ในคริสตจักรก็เช่นกัน เราจะปิดคริสตจักรไม่รับรู้ข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆคงไม่ได้ อย่างไรแล้ว สิ่งนั้นก็คงไหลเข้ามาในคริสตจักรได้อยู่ดี แต่สิ่งที่เราทำได้คือสั่งสอนแบ่งปันหลักพระวจนะที่ครบถ้วน ถูกต้อง ให้กับสมาชิกได้ทราบ นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดจะทำ ผมมีเวทีการสื่อสารอยู่แล้วนั่นคือในการเทศนา นอกจากนั้นก็คือการประชุมหัวหน้าแคร์ การประชุมผู้นำอภิบาล การประชุมกับทีมงานด้านต่างๆ Hope TV ฯลฯ

สำหรับในค่ายนี้ ก็ไปใช้ในโรงเรียนพระคัมภีร์กัน แปลกไหม! ผมคิด.... อยู่ในประเทศที่ถูกปิดกั้นด้านต่างๆ ความเจริญของประเทศน้อยกว่าประเทศเราแบบเทียบกันไม่ได้ ฯลฯ แต่ว่า... คริสเตียนมากกว่าประเทศเรา เป็นเพราะเหตุอะไรกัน บางทีถ้าพี่น้องมีคำตอบ แบ่งปันให้พวกเราได้ข้อคิดก็ดีครับ

เหมือนเช่นเคยที่ได้เคยมา ได้สอนสำหรับที่นี่ ซึ่งก็เป็นการเริ่มต้นงานใหม่เช่นกัน เพียงแต่ว่าที่นี่เริ่มมาได้หนึ่งปีแล้ว และคนนำก็เป็นคนใหม่ ผมมาที่นี่ก็ได้วางมืออธิษฐานเจิมผู้นำไว้สำหรับการนำคริสตจักรต่อไป เช่นเคย อาหารอร่อยมาก ทุกครั้งที่มา ถ้าไม่ระวัง กลับไปน้ำหนักเพิ่มครับ สำหรับที่นี่เขาบอกว่าเขาจะไปเยี่ยมตองจีกัน เป็นเมืองอยู่บนภูเขาสูง ไม่เหมือนที่ใดใดในประเทศนี้.. สวมเสื้อหนาวกันตลอดเวลา แหม! ชักอยากไปบ้างซะแล้วสิ เดี๋ยวขอเวลาสร้างกรุงเทพฯให้แข็งแรงก่อน อนาคตถ้าพระเจ้าทรงนำ ได้มาร่วมทริปแน่ ผมจะชวนพี่น้องประเทศไทยมาด้วย ใครอยากมา เก็บเงินร่วมเดินทางไปด้วยกัน ทั้งได้สัมผัสวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนบ้านเรา ทั้งได้รับประทานอาหารที่ไม่เหมือนบ้านเรา ได้เห็นโลกกว้างขึ้น ได้สนับสนุนพี่น้อง ได้เป็นกำลังใจให้พวกเขา ฯลฯ เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ชักเริ่มฝัน ฝันเรื่องไปตั้งคริสตจักรในต่างประเทศ แล้วก็จัดทริปชวนคนไทยไปเยี่ยมเยียนพวกเขาในประเทศต่างๆด้วยกัน ใครไปมาก็เล่าประสบการณ์การไปเยี่ยมเขียนลงบล็อกตนเอง เป็นไงครับ

มานี่ ก็ได้ฝันหลายอย่างครับ ฝันว่าจะทำอะไรบ้างในกรุงเทพฯ ฝันแล้วก็ต้องฝากไว้กับพระเจ้าเพื่อความฝันนั้นจะได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา พรุ่งนี้คงมีเวลาฝันหรือใคร่ครวญเรื่องต่างๆได้มากขึ้นครับ เพราะพรุ่งนี้ผมไม่ได้ไปที่ค่าย จะได้มีเวลาคิดใคร่ครวญเรื่องต่างๆ รวมทั้งเขียนพระวจนะเตรียมลงบล็อกด้วย

สำหรับคืนนี้ได้เทศนาฟื้นฟู สิ่งที่ทำให้รู้ว่าพระเจ้ามาเยี่ยมเยียนพวกเขา และอยู่ด้วยกับพวกเขาคือพระสิริของพระเจ้าครับ เห็นที่MM เหมือนกับที่ผมเห็นที่ประเทศไทยเลย พระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเจ้ารักพวกเขาและอยู่ด้วยกับพวกเขาจริงๆ ขอให้การมาที่นี่ของพวกเรา เป็นที่หนุนจิตชูใจ ให้คริสตจักรพระเยซูเข้มแข็งและปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าต่อไป

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันนี้ไม่ได้ไปไหน ได้ใช้เวลาอดอาหารอธิษฐานแสวงหาพระเจ้าสำหรับคริสตจักรความหวังกรุงเทพฯ สำหรับประเทศไทยและคนต่างๆ ผมอธิษฐานเผื่อคริสตจักรอย่างนี้ด้วยว่า ขอพระเจ้าประทานความสุขให้กับสมาชิกทุกคน ให้มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบิกบานออกมาจากใจ ให้คริสตจักรความหวังกรุงเทพฯเติบโตขึ้นมาใหม่บนรากฐานแห่งพระวจนะพระเจ้า และบนรากฐานแห่งของประทานของพระเยซูคริสต์ทั้งห้า นอกจากนั้นก็เตรียมเรื่องเพื่อเขียนในบล็อกทั้งบล็อกการรับใช้และบล็อกพระวจนะ สำหรับการรับใช้ วันนี้ก็กระจ่างแจ้งสำหรับเรื่องของประทาน คงจะได้มาแบ่งปันต่อไป ส่วนเรื่องพระวจนะที่จะเขียนในวันเสาร์นี้ ก็ยังเป็นความสงสัยอยู่ที่ต้องถามพระเจ้าก่อนที่จะนำมาแบ่งปัน

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันสุดท้ายของการอยู่ที่นี่ วันนี้ได้ไปสอนอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เดินทางกลับไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน ระหว่างทางไปก็แวะชมโครงการเนอสเซอรี่ของที่นี่ซึ่งกำลังจะเปิดใช้งานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เสร็จเขาก็พาไปแวะทานอาหารเที่ยง ซึ่งในรายการที่สั่งมาไม่มีเมนูอาหารMMสักจาน มีแต่อาหารจีน อาหารไทย ผมชอบอาหารที่นี่ครับ ถ้ามาต่างแดนผมชอบรับประทานอาหารบ้านเขามากกว่า เพราะหารับประทานไม่ได้ในประเทศเรา และสำหรับอาหารที่นี่ก็อร่อยซะด้วยสิ....

สุดท้ายก็มานั่งรอขึ้นเครื่อง และเขียนบทความนี้เป็นครั้งสุดท้ายนี่แหละครับ การเข้ามาที่สนามบินที่นี่ก็แสนง่าย ไม่มีขั้นตอนตรวจตรายุ่งยากเหมือนบ้านเรา ไม่เข้มงวดเหมือนบ้านเรา แต่ถ้าเทียบกับอิสราเอลแล้ว บ้านเราเป็นเหมือนเด็กอนุบาลไปเลย ขอบคุณพระเจ้าสำหรับโอกาสที่ได้มาที่นี่ ได้มาหนุนจิตชูใจคนที่นี่ ขอพระเจ้าอยู่ด้วยกับประเทศนี้ และขอทรงสนับสนุนงานคริสตจักรที่นี่ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน...