วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

งานการรับใช้

ที่เล่ามาทั้งห้าด้านนั้น เป็นตัวอย่างของผมเทียบกับของประทานของพระเยซูคริสต์ที่เป็นคนที่พระเจ้าประทานให้มาในคริสตจักร 5 บุคคล ตามเอเฟซัส 4:11-13
11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น
13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์

เป้าประสงค์จากพระคัมภีร์ตอนนี้คือจนกว่าเราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อจะเติบโตเต็มที่จนถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ แล้วใครล่ะที่จะช่วยเตรียม พระคัมภีร์ได้บอกว่าคือของประทาน 5 บุคคลนี้ เตรียมเพื่อเราจะเป็นคนที่รับใช้ เตรียมเพื่อพระวรกายคือสมาชิกทั้งหมดจำเริญขึ้น โดยสรุปก็คือ พระเจ้าให้ของประทาน 5 บุคคลอยู่ในคริสตจักร (ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่เราจะทำกันต่อไป) เพื่อช่วยเตรียมธรรมิกชน ไปสู่ความไพบูลย์ในพระเยซูคริสต์

ตอนนี้เราก็คงสำรวจกันดูว่าแต่ละคนมีของประทานอะไร แล้วเรามาช่วยกันเสริมสร้างพระวรกายในคริสตจักรด้วยกัน ถามว่าแล้วเรามีของประทานอะไร ผมคิดว่ามี สามระดับในระดับของของประทานครับ 1) เป็นบุคคล 2) เป็นการรับใช้ 3) ทุกคนทำ

เรื่องนี้จะมาอธิขายต่อถ้าผมมีเวลานะครับ และมีอยู่1เรื่องที่ผมยังสงสัยอยู่ว่าทุกคนทำได้หรือไม่ ไว้ผมจะนำมาให้ท่านได้ลองอธิษฐานถามพระเจ้า และได้ลองใช้ความคิดดูครับ

ข้างล่างนี้เป็นความคิดที่ผมคุยกับเลขาฯผม และลองให้เขาเขียนดูครับ ซึ่งผมก็คิดว่าใช้ได้ครับ







นี่ก็เป็นทั้งหมดที่เขาทำครับ  กว่าจะหาทางเอามาลงได้  สุดท้ายก็ต้องทำอย่างนี้ละครับ

สำหรับเรื่องของประทานอัครทูต ความคิดนี้ ผมมีข้อสรุปในปัจจุบันแล้ว ดังนี้ครับ

อัครทูตคือผู้แทนของพระเจ้า ผู้ที่ถูกส่งไป G652 ἀπόστολος apostolos (ap-os'-tol-os) n.


1. a delegate

2. (specially) an ambassador of the Gospel

3. (officially) a commissioner of Christ, "apostle" (with miraculous powers)
 
สำหรับด้านการรับใช้  การรับใช้ด้านนี้คือการถูกส่งออกไป เราเห็นได้จาก G649 ἀποστέλλω apostello (ap-os-tel'-lo) v.


1. set apart

2. (by implication) to send out (properly, on a mission)
– การส่งออกไป ได้รับมอบหมายให้ไปทำบางสิ่งบางอย่าง เช่น กจ.8:14

ส่วนบทบาทที่ทุกคนต้องทำ ผมคิดว่าอยู่ในกิจการ 1:8 ครับ ที่พระคัมภีร์พูดว่า เราทุกคนจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช และจะเป็นพยานตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย สะมาเรีย จนสุดปลายแผ่นดินโลก   พระคัมภีร์บอกให้เราทำบทบาทนี้เช่นกันทุกคน  ถูกส่งออกไปประกาศจากใกล้ไปสู่ไกล

สรุปนะครับ ผมคิดว่ามีอยู่ 3 ระดับครับในการใช้ของประทาน 5 ด้านนี้ คือ ระดับแรก บางคนเป็น  จะมีบางคนที่พระเจ้าแต่งตั้งไว้ให้เป็นไปตามของประทานห้าอย่างนั้น   ระดับที่สอง  บางคนมี  จะมีบางคนที่พระเจ้าให้มีของประทานต่างๆเพื่อบางคนที่มีของประทานจะได้ทำหน้าที่ตามของประทานนั้นๆ ดังข้อพระคัมภีร์ที่เลขาฯผู้เขียนบทความด้านบนนั้นได้อ้างถึง  และระดับที่สาม คือ ทุกคนทำบทบาท   ผู้เชื่อทุกคนมีบทบาทที่ต้องทำ แม้ไม่ได้มีของประทานนั้นๆ เช่นทุกคนต้องประกาศเป็นพยานเรื่องพระเยซูคริสต์  แม้ไม่ได้มีของประทานประกาศ หรือไม่ได้เป็นผู้ประกาศ  อื่นๆก็เช่นกันครับ  แม้ไม่ได้เป็น ไม่ได้มี แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกให้เราทำบทบาทนี้


 ครับ เรื่องต่อๆไปที่จะแบ่งปันคือ เรื่องของประทานแต่ละอย่าง

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เล่าสู่กันฟัง - การเผยพระวจนะ

คงมีเพียงด้านนี้เท่านั้นครับที่ผมไม่มีของประทาน แต่ก็ได้รับการสำแดงเป็นครั้งเป็นคราว เช่นเรื่องที่่ผมเล่าไปแล้วว่าเห็นภาพตัวเองเป็นรถแทร็คเตอร์ตอนที่มาบุกเบิกสำโรง ภาพตอนไปประกาศกับอ.สมาน ที่อธิษฐานและเห็นคนที่ตาคลีได้รับการรักษาให้หายจากโรคต่างๆ และสิ่งที่พระเจ้ามาตรัสเป็นการส่วนตัวถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทำในอนาคต ฯลฯ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่เหมือนกับผู้ที่มีของประทานผู้เผยฯ ซึี่งจะรับการสำแดงจากพระเจ้า ล่วงรู้อนาคตที่พระเจ้าต้องการให้รู้ เพื่อประโยชน์แก่คริสตจักรของพระองค์ ฯลฯ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมมีความหิวกระหายด้วยเช่นกัน ผมปรารถนาให้พระเจ้าเจิมผมให้มีของประทานนี้ด้วย เพื่อผมจะนำทิศนำทางคริสตจักรได้ตามแผนการณ์ของพระเจ้า ผมอยากเห็นพระเจ้าใช้คริสตจักรนี้มากๆ ผมอยากเห็นคริสตจักรความหวังฯเป็นท่อพระพรนำสันติสุขของพระเจ้าไปสู่สังคมไทย และทุกสิ่งที่ทำ หรือที่ตั้งใจจะทำ ขอพระเจ้าได้รับพระเกียรติทั้งสิ้น อาเมน...

เล่าสู่กันฟัง - การแบ่งปันพระวจนะ

การศึกษาพระคัมภีร์และมาแบ่งปันให้คนทั้งหลายได้ทราบแนวคิดนั้น คงเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับผม ตั้งแต่ผมเชื่อพระเจ้ามาผมก็อยู่ในฟิลด์บู๊มาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มประกาศ ต่อมาก็ดูแลคน แล้วก็มาต่อด้วยการบุกเบิก ตลอดระยะเวลานั้นเรื่องการศึกษาพระคัมภีร์ ค้นคว้า หิวกระหาย ใคร่รู้ ไม่ได้อยู่ในชีวิตของผมเลย ความอยากรู้ อยากศึกษา อยากรับการสำแดงพระวจนะนั้น เริ่มมาเมื่อประมาณเดือนกันยายนหรือเดือนตุลาคม ปีที่แล้วมานี่เอง ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างจากภรรยาผมที่มีวิญญาณของอาจารย์อยู่ในตัวมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว สำหรับผมแล้วการได้ใคร่ครวญ ศึกษา และนำมาแบ่งปัน เป็นสิ่งใหม่ และนำมาซึ่งความสุข ความยินดี ที่ได้รับการเปิดเผย สำแดงจากพระเจ้าในเรื่องต่างๆ ดังที่่ผมได้แบ่งปันไปแล้วในบล็อกที่เกี่ยวกับพระวจนะ

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เล่าสู่กันฟัง - การบุกเบิก (จากความทรงจำ)

งานด้านที่ดูจะโดดเด่นที่สุดของผมคืองานด้านการบุกเบิกดินแดนใหม่ บุกเบิกพื้นที่ใหม่ บุกเบิกเซลใหม่ บุกเบิกจังหวัดใหม่ บุกเบิกประเทศใหม่ ฯลฯ งานด้านบุกเบิกของผมเริ่มต้นเมื่่อผมมาอยู่ในความหวังกรุงเทพฯ เช่น บุกเบิกพื้นที่ใหม่ จากเซล 1 เซลที่สำโรงกลายเป็นส่วน S1 สมัยนั้นพื้นที่ที่ผมดูแลอยู่ไกลกันมากครับ สมุทรปราการทั้งจังหวัด และยังแถมด้วยฝั่งธนฯยาวไปถึงบางบอนโน้น เซลผมมีตั้งแต่สำโรง ยาวไปถึงอ.บางบ่อ อ.บางพลี บางปู อ.พระประแดง สนุกครับ การได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบนั้นก็มีความสุขมาก ไม่ว่าจะไกลขนาดไหน ไปบุกเบิกได้ทุกที่ สมัยนั้นผมชอบสะพายย่าม ไปไหนก็มีอุปกรณ์ครบทุกชนิดอยู่ในกระเป๋าย่ามของผม การบุกเบิกเปิดสถานนมัสการหรือว่าคริสตจักรนั้น ก็ได้ทำในขณะที่ดูแลS1อยู่ คือไปเปิดที่ปากน้ำ และที่พระประแดง รวมแล้ว 2 คริสตจักร สมาชิกในเซลผมนั้นต้องเดินทางมาคริสตจักรไกลมาก คริสตจักรสมัยนั้นอยู่ที่โรงหนังออสการ์ บางคนอยู่ถึงอ.บางบ่อ ไกลออกไปสัก 60 กม. แต่ว่ามาก่อนคนอื่นๆเลย พระเจ้าให้โอกาสผมได้ทำงานที่ยากๆ ไกลๆ แต่สนุกครับ เวลาผมไปเยี่ยมคน ผมต้องไปนอนค้างกับเขาด้วย เพราะแต่ละที่ไกลมากๆ เช่น บางปูเป็นต้น อยู่เลยจังหวัดสมุทรปราการไปอีก สงสัยจริงๆว่า ถ้าเป็นผู้นำสมัยนี้เขาจะทำกันยังไง เขาจะสู้เหมือนแบบผมไหม อีกฝากหนึ่ง เซลผม บางบอนก็มี สมุทรเจดีย์ก็มี คนละฝากกันเลย สมัยนั้นผมก็ใช้วีธีเขียนจดหมายฝาก คือไปหาเขาแล้วก็ทิ้งจดหมายฝากไว้ให้เขาอ่าน ก็ใช้ได้ผลดี ในความจำกัดของผม ผมจะหาวิธีการต่างๆในการดูแลสมาชิกของผมให้ดี

งานบุกเบิกถัดมาที่ได้ทำคืองานต่างประเทศ ทั้งจีน พม่า อัฟริกา อยู่ในความรับผิดชอบของผมใต้ส่วนE1 พม่านี้ผมใช้อ.อลงณ์ สมัยนั้นอายุแค่ 18 ปีเองครับ แต่ 18 ปีนี่แหละทำให้เกิดคจ.พม่าขึ้นมาได้ การทำงานของผมนั้น แม้ว่าผมจะพูดภาษาต่างๆไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมทำคือผมต้องหาหัวหน้าสายให้เจอ เมื่อมีหัวหน้าสายแล้ว งานนั้นก็จะเคลื่อนที่ไปได้ งานอัฟริกานี่เป็นอีกงานที่ผมมีความประทับใจมาก จำได้ว่าครั้งแรกที่คนอัฟริกาเข้าในคจ. ผมดีใจมาก ต้อนรับขับสู้ ดูแลอย่างดี ในที่สุดก็เปิดบ้านเขาทำเซลอัฟริกันได้เป็นเซลแรกในคริสตจักรของเรา ผมจำวันแรกที่ไปเยี่ยมจัดเซลกับพวกเขา ผมแทบเป็นลมสลบไปตรงนั้น เพราะว่า... กลิ่นตัวเขาแรงมากจริงๆครับ ทำงานกับคนอัฟริกันนี้ ต้องปรับตัวให้ได้กับกลิ่นตัวของเขา ดังนั้นคริสตจักรอัฟริกันก็เกิดขึ้นมาในคริสตจักรความหวังจากตรงนี้ ทำงานกับคนอัฟริกันนี่สนุกมากครับ เพราะวัฒนธรรมของพวกเขาชอบการนมัสการ เมื่อผมเข้าไปในบ้านเขา เต้นโลดสรรเสริญพระเจ้ากันสุดฤทธิ์เลยครับ

งานบุกเบิกอีกอันคืองานพันธกิจ ผมรับผิดชอบสมัยแรกคือการเปิดคริตจักร ผมจะต้องเดินทางไปก่อนเพื่อไปเตรียมงานการเปิดคริสตจักร สมัยแรก เราจะเปิดคริสตจักรที่ใด เราจะจัดงานประกาศกลางแจ้งก่อนเสมอ ผมจะทำหน้าที่เดินทางไปเตรียมงานในภาคเหนือของไทยครับ นอกจากนั้น ภาคเหนือคือภาคที่ผมรับผิดชอบ ผมบุกเบิก แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ประสบการณ์การบุกเบิกนี่เล่ากันไม่หมดครับ มีเรื่องให้เล่าเยอะมาก โดยสรุปว่าต้องอาศัยความทุ่มเทจริงๆ เราถึงจะบุกเบิกงานในจังหวัดนั้นๆได้ ต้องมีความเชื่อ ต้องลุย จะมาทำหงิมๆเหนียมๆ ทำงานบุกเบิกไม่ได้หรอกครับ อีกภาคหนึ่งที่ผมบุกเบิกคือภาคตะวันออก อยู่ในความรับผิดชอบของผมเช่นกัน

ถัดมาก็งานบุกเบิกต่างประเทศ เราก็ใช้ยุทธวิธี สร้างคนในกรุงเทพฯแล้วส่งเขากลับไปบุกเบิกในประเทศของเขา เช่นพม่าเป็นต้น สมัยแรกๆ ผมก็เอาผู้นำพม่าที่คิดว่าจะมาร่วมนิมิต มานอนที่บ้านของเรา เพื่อสร้างเขา แต่ไม่เคยสำเร็จ จะได้แต่คนประเภทที่หิวเงิน ต้องการความช่วยเหลือ ไม่เคยเจอผู้นำแท้สักที จนเราต้องสร้างเอง และส่งออกไปจากคริสตจักรเราเอง กัมพูชาก็เช่นกัน สร้างคน ส่งคนออกไปจากประเทศไทย และที่อยู่ในปัจจุบันก็ได้แก่ประเทศในอัฟริกา ที่ผมออกไปสร้างเขาเอง สอนวิธีการทำคจ. ฯลฯ นั่นก็เป็นประสบการณ์การใช้ภาษาอังกฤษครั้งแรกในต่างประเทศครับ เมื่อเดินทางไป มีรอบสุดท้ายที่ผมเดินทางโดยตัวคนเดียวเองด้วย ได้ประสบการณ์ดีมากๆครับ

งานด้านการบุกเบิกอันสุดท้ายก็คือการบุกเบิกงานชนเผ่า สมัยนั้นมีเพียงเผ่าม้งอยู่ในคริสตจักร แล้วผมก็เริ่มบุกเบิกเผ่าละว้า เผ่าต่อมาคือเผ่าอิวเมี่ยน แล้วหลังจากนั้นก็มีเผ่านานาเผ่าเต็มไปหมด เรื่องงานชนเผ่านี้ ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ผู้นำคนเก่าแล้ว ให้มีใจรักพวกเขาเหล่านั้น และต้องบุกเบิกดูแลพวกเขาเหล่านั้น

สรุปความว่าผมชอบการบุกเบิก อนาคตผมก็ยังจะบุกเบิกต่อไป ถ้าพระเจ้าพอพระทัย ผมจะบุกเบิกงานพันธกิจชาติพันธุ์ครับ

เล่าสู่กันฟัง - การอภิบาล (จากความทรงจำ)

สำหรับงานด้านการดูแลคน พระเจ้าได้วางผมไว้โดยให้รู้ตัวว่าจะทำงานด้านนี้ สมัยเมื่อผมยังอยู่ที่เชียงใหม่ ขณะเรียนพระคัมภีร์อยู่ ศจ.สมเกียรติ (เพื่อนผมรุ่นน้อง) ได้เห็นนิมิตว่าผมก้มลงต้อนเด็กเล็กๆที่คลานอยู่บนพื้นไว้ด้วยกัน แล้วก็มาบอกผม ในสมัยนั้นผมก็เข้าใจว่าพระเจ้าจะให้ผมดูแลเด็กหรือเปิดเนอสเซอรี่ ต่อมาผมจึงกระจ่างแจ้งว่าหมายความถึงการดูแลคนนั่นเอง

งานด้านการดูแลคนของผม สมัยอยู่เชียงใหม่ผมก็เริ่มทำแล้ว ส่วนมากที่ดูแลคือน้องๆนักศึกษาที่มาเชื่อในม.เชียงใหม่ อ.เจริญนี่ก็เช่นกัน อาจารย์บอกผมว่า ผมเป็นคนไปติดตามอ.เจริญกลับมา สมัยนั้นผมเป็นพี่เลี้ยงอ.เจริญ (จำไม่ได้จริงๆครับ นานมากแล้ว) พอมาอยู่ที่คริสตจักรความหวัง ก็เริ่มต้นด้วยการบุกเบิกพื้นที่ที่ไม่มีใครเลย คือมีนบุรี ลงทุนลงแรงไปเยี่ยมไปประกาศ แต่ก็ยังไม่มีคนเชื่อ ไม่มีกลุ่ม จนผมย้ายไปดูแลเซลที่สำโรง ซึ่งมีอยู่เซลเดียว และกำลังจะแตก เพราะสมาชิกไม่ถูกกันจะย้ายไปอยู่โบสถ์อื่นกันหมด ผมเข้ามาดูแล และพระเจ้าให้ภาพผมเป็นเหมือนรถแทรกเตอร์ ที่ไถ่เนินหลุม เกลี่ยให้เรียบไปหมด เมื่อพระเจ้าให้ความเชื่ออย่างนี้ ผมจึงเข้าไปดูแลที่สำโรงด้วยความเชื่อ พึ่งพระคุณพระเจ้า จากเซลที่คนกำลังแตกแยกย้ายกัน ก็กลับมารวมตัวกันได้ จาก 1 เซล ก็ขยายมาเรื่อยๆ เป็นหน่วยที่โตเร็วที่สุดในคริสตจักร แล้วขยายกลายเป็นเขต และกลายเป็นส่วน S1ในที่สุด ประสบการณ์ด้านการดูแลคนก็คงอยู่ในช่วงนี้ สมัยที่อยู่ในคริสตจักรความหวังสมัยแรกๆ จากส่วนS1 ก็ย้ายมาดูแลส่วนE1 จากส่วนE1 ก็ย้ายไปเป็นผู้นำครน.ชลบุรีอยู่ 1 ปี แล้วต้องย้ายกลับมากรุงเทพฯด้วยโรคหัวใจ และมาเริ่มดูแลงานส่วนชนเผ่ามาตั้งแต่บัดนั้น